ตอนที่ 201 ผู้บังคับบัญชา
“Han Man, how strong are these officers?” asked Lin Feng. He wanted to understand the potential of the army. The best way to find out was to understand how strong the officers were
“หานหมาน ผู้บังคับบัญชาเหล่านี้มีความแข็งแกร่งใช่รึไม่?” หลินเฟิงถาม เขาต้องการที่จะรู้ถึงศักยภาพของกองทัพ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการทำความเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเหล่าผู้บังคับบัญชา
“Ordinary soldiers are all at the Qi layer. Guards are at the peak of the Qi layer. Sergeants are required to have broken through to the Ling Qi layer. It’s even stricter for the Lieutenants who are required to have broken through, at least, the third Ling Qi layer. Non-commissioned officers must have broken through to the sixth Ling Qi layer and as far as the three officers are concerned, one is at the eighth Ling Qi layer and the two others are at the ninth Ling Qi layer. One more step and they’ll reach the Xuan Qi layer. They are extremely strong.”
“ทหารธรรมดานั้นอยู่ในระดับพลังปราณ หัวหน้าทหารยามจะอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับพลังปราณ หัวหน้าหมู่จะต้องตัดผ่านระดับจิตวิญญาณ เข้มงวดขึ้นมาก็จะเป็นพวกนายกองที่จะต้องอย่างน้อยระดับจิตวิญญาณขั้นที่ 3 ขึ้นไป ยศสูงกว่านั้นก็จะเป็นรองผู้บัญชาการ ต้องมีระดับการบ่มเพาะมากกว่าชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 6 ขึ้นไป ส่วนผู้บัญชาการ 3 คน มี 1 คนอยู่ชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 8 และอีก 2 คนอยู่ชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 9 อีกเพียงก้าวเดียวพวกเขาก็จะตัดผ่านไปถึงชั้นปฐพีแล้ว(Xuan) พวกเขาล้วนแต่แข็งแกร่งอย่างมาก”
Han Man explained these things in details to Lin Feng. Strength was the most important thing in the cultivation world, especially within the army. Strength was required when speaking to soldiers, it was impossible to rely only on one’s military exploits, strength was necessary to make subordinates obey orders. Even on the battlefield, without strength, it was too easy to get killed. Being inspiring and intimidating was the biggest challenge.
หานหมาน ได้อธิบายรายละเอียดเหล่านี้ให้กับ หลินเฟิง ฟัง ความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพ ความแข็งแกร่งจะทำให้เหล่าทหารปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แม้แต่ในสนามรบ หากปราศจากความแข็งแกร่งก็จะถูกสังหารได้อย่างง่ายดาย
“Lin Feng, big brother, we stand alone as the Chi Xie troops. Even though the number is not as numerous as for the other parts of the army, their average strength is much higher than the other soldiers. Besides, the officer of the Chi Xie troops is at the peak of the ninth Ling Qi layer. It is said that he is about to break through to the Xuan Qi layer. How majestic!” added Han Man. Lin Feng understood why the situation was that way. The Chi Xie troops were elite troops created by Liu Cang Lan himself. It was impossible for them not to be the strongest unit within the army.
“พี่ใหญ่หลินเฟิง กองทหารม้านี้แม้ว่าจะมีจำนวนไม่มากเท่ากับกองทัพอื่น แต่ความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของพวกเขามากกว่ากองทัพอื่นมากโข นอกจากนี้ผู้บัญชาการของกองทหารม้าก็ยังอยู่ในจุดสูงสุดของชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 9 แล้ว” หานหมาน กล่าวเสริม หลินเฟิง เข้าใจสถานการณ์มากขึ้น กองทหารม้าเป็นกองกำลังที่ถูกสร้างโดย หลิวชางหลาน แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นซุ่วเย่ว
The armor they were wearing was different from that of the other soldiers. They all had black and gold armor which greatly increased their defense. Besides, the armor had a red luster to it which made the soldiers look incredibly majestic. That is why Han Man and Po Jun wore the armor. It made them strike fear into people. One glance was enough to scare people away as if the armor contained the swift and fierce Qi of the Chi Xie.
เสื้อเกราะที่พวกเขาสวมนั้นแตกต่างจากของทหารคนอื่นๆ พวกมันเป็นสีดำและทองซึ่งช่วยเพิ่มพลังป้องกันอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีเกราะสีแดงที่ทำให้ทหารนั้นดูน่าเกรงขามอย่างน่าเหลือเชื่อ นั่นเป็นเหตุผลที่ หานหมาน และ ปู้จุน สวมเสื้อเกราะ ด้วยการเหลือบมองเพียงครั้งเดียว ก็สามารถทีจะสร้างแรงกดดันและความหวาดกลัวให้กับผู้อื่นได้แล้ว
“Lin Feng big brother, you can ask the General to give you a lieutenant position so that we can fight the enemy together.” Han Man’s voice was filled with enthusiasm. Lin Feng had come to fight the enemy. If they could fight together side by side as brothers, they would certainly be even more inspired and motivated.
“พี่ใหญ่หลินเฟิง ท่านสามารถขอให้ท่านแม่ทัพมอบตำแหน่งนายกองให้กับท่านได้ พวกเราจะได้ต่อสู้กับเหล่าศัตรูด้วยกัน” หานหมาน เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น หลินเฟิง มาเพื่อสู้กับเหล่าศัตรู หากพวกเขาสามารถเข้าต่อสู้ในสนามรบในฐานะพี่น้องก็จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก
“Lin Feng.” At that moment, five people were moving towards them. The one taking the lead was Liu Cang Lan. When Han Man and Po Jun saw these people, they stood perfectly straight, slightly bowed and performed a military salute:
“General, Officer!”
“หลินเฟิง” ทันใดนั้น ร่างเงาทั้ง 5 ก็เดินตรงมาที่พวกเขา หนึ่งในนั้นคือ หลิวชางหลาน เมื่อหานหมานและพั่วจวินเห็นคนเหล่านั้น พวกเขาก็ยืนตัวตรงและทำความเคารพแบบทหาร “ท่านแม่ทัพ!”
“Hm.” Liu Cang Lan slightly nodded and said: “Han Man, Po Jun, you two can leave.”
“อืม” หลิวชางหลาน พยักหน้าเล็กน้อย “หานหมาน ปู้จุน พวกเจ้าออกไปก่อน”
“Roger, General!” said Han Man and Po Jun while looking at Lin Feng with a mysterious smile on their faces. Immediately after, they left.
“รับทราบ ท่านแม่ทัพ!” หานหมาน และ ปู้จุน เหลือบมองไปที่ หลินเฟิง ด้วยรอยยิ้มที่ลึกล้ำบนใบหน้า หลังจากนั้นพวกเขาก็จากไปในทันที
“Lin Feng, come in, they’re with me.” said Liu Cang Lan. Immediately after, he and the four people entered the tent. Lin Feng closely followed behind them.
“หลินเฟิง เข้ามาในนี้ก่อน” หลิวชางหลาน กล่าว เขาและอีก 4 คนเข้าไปในกระเต้น หลินเฟิงตามพวกเขาเข้าไปอย่างใกล้ชิด
In the tent, Liu Cang Lan and the four others sat down in different places and stared at Lin Feng who was standing. Lin Feng was also staring back at them.
ในเต้นมี หลิวชางหลาน และอีก 4 คนนั่งลงในที่ต่างกันและจ้องมองมาที่ หลินเฟิง
Lin Feng looked at the two people on Liu Cang Lan’s sides. One was wearing a black and gold armor and the other one was wearing golden armor. The two others were wearing silver armor.
หลินเฟิง มองไปยัง 2 คนที่อยู่ด้านข้างของ หลิวชางหลาน หนึ่งในนั้นสวมเสื้อเกราะสีดำและทอง อีกคนสวมเสื้อเกราะทองคำ อีก 2 คนสวมเสื้อเกราะสีเงิน
Besides, these people’s expressions all looked sharp and majestic. They were calmly sitting there but Lin Feng had the impression that the Chi Xie troops Qi was filling the atmosphere.
การแสดงออกของคนเหล่านี้ดูน่าเกรงขามมาก พวกเขานั่งอย่างสงบ แต่ หลินเฟิง ก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่น่าประทับใจในอากาศ
“Lin Feng, this is the officer of the Chi Xie troops, Jiu Chi Xie. This is the middle officer, Ren Qing Kuang. This is the left officer, Feng Yu Han, and this is the right officer, Lei Qing Tian.” Liu Cang Lan introduced these people to Lin Feng. Jiu Chi Xie, the officer of the Chi Xie troops, was wearing the Chi Xie armor. Ren Qing Kuang was wearing the golden armor. The left and the right officers, Feng Yu Han and Lei Qing Tian were wearing silver armor.
“หลินเฟิง นี่คือผู้บัญชาการของกองทหารม้าฉีซี แม่ทัพ จิว คนที่อยู่ตรงกลางคือ เหลินชิงขวง คนที่อยู่ด้านซ้ายคือ เฟิงยู้หาน คนที่อยู่ด้านขวาคือ เหลยชิงเทียน” หลิวชางหลาน แนะนำคนเหล่านี้ให้กับ หลินเฟิง แม่ทัพจิว เป็นผู้บัญชาการของกองทหารม้าฉีซีผู้สวมเกราะโลหิต เหลินชิงขวง สวมเกราะทองคำ เฟิงยู้หาน และ เหลยชิงเทียน นั้นสวมเกราะสีเงิน
Liu Cang Lan had appointed these people to lead huge portions of the army: three hundred thousand troops in total. Their power and influence reached the heavens.
หลิวชางหลาน ได้แต่งตั้งคนเหล่านี้เป็นผู้นำกองทัพขนาดใหญ่ อำนาจและอิทธิพลของพวกเขานั้นมีมากมายยิ่งนัก
Lin Feng slightly bowed in front of these people, but he was full of questions. He didn’t know why Uncle Liu had introduced him to all these people.
หลินเฟิงโค้งคำนับให้พวกเขาเล็กน้อยแต่เขาก็ยังคงมีคำถามอยู่ในใจ ทำไม หลิวชางหลาน ถึงได้แนะนำคนพวกนี้กับเขา
Liu Cang Lan had left for a walk and had come back with these four people. It was clearly intentional and was no coincidence at all.
หลิวชางหลาน จากไปและกลับมาพร้อมกับ 4 คนนี้ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
“This is Lin Feng whom I was telling you about. The one who has conquered Fei Fei’s heart, my future son-in-law.” said Liu Cang Lan to the four officers while smiling. Lin Feng was dumbstruck. Liu Cang Lan was surprisingly officially declaring that Liu Fei and Lin Feng had an intimate relation and that he was going to become his son-in-law.
“นี่คือ หลินเฟิง ผู้ที่ข้าเคยบอกกับพวกเจ้าไว้ เขาเป็นคนที่สามารถเอาชนะใจ เฟยเฟย ได้และจะเป็นลูกเขยของข้าในอนาคต” หลิวชางหลาน กล่าวขณะยิ้ม หลินเฟิง กลายคนเป็นโง่ในทันที หลิวชางหลาน ประกาศอย่างเป็นทางการว่า หลินเฟิง และ หลิวเฟย มีความสัมพันธ์กัน ทั้งยังบอกอีกว่า หลินเฟิง จะกลายเป็นลูกเขยของเขาในอนาคต
Even though Lin Feng knew that Liu Cang Lan was trying to match Liu Fei and Lin Feng, however they were just friends. There was nothing intimate between them. Liu Cang Lan’s words made Lin Feng feel very surprised, but since he spoke that way, Lin Feng couldn’t contradict him. He had no choice but to nod and confirm.
แม้ว่า หลิวชางหลาน จะพยายามจับคู่ หลินเฟิง กับ หลิวเฟย อย่างไรก็ตามในตอนนี้พวกเขาเป็นเพียงสหายกันเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเกินเลย คำพูดของ หลิวชางหลาน ทำให้ หลินเฟิง ประหลาดใจ แต่เขาก็ไม่อาจที่จะปฏิเสธได้ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ายอมรับ
“I am curious to see what kind of man Liu Fei likes.” The right officer Lei Qing Tian stood up and took a few steps towards Lin Feng and suddenly, an incredible amount of Qi moved straight towards Lin Feng.
“ข้าอยากจะรู้ว่าชายประเภทไหนกันที่ หลิวเฟย ชื่นชอบ” เหลยชิงเทียน ยืนขึ้นและเดินไปที่ หลินเฟิง พร้อมกับปลดปล่อยพลังปราณตรงไปที่เขา
That Qi smelt like blood and death. Lin Feng, at that moment, had the impression that the person in front of him wasn’t a human being but a demonic killing machine. His hands were covered with an endless amount of blood belonging to his victims.
มันเป็นพลังปราณที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความตาย ในตอนนี้เอง หลินเฟิง ก็ตระหนักได้ว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าของเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเครื่องจักรสังหาร มือของเขาเต็มไปด้วยเลือดของศัตรูมากมาย
“How terrifying.” Lin Feng was remained motionless. That insane Qi was able to affect people’s determination. The terrifying Qi was extremely oppressing.
“น่ากลัวอะไรเยี่ยงนี้” หลินเฟิง ยังคนยืนนิ่ง พลังปราณที่บ้าคลั่งส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คน มันคือการกดขี่อย่างแท้จริง
Lin Feng didn’t dare imagine how many lives he had taken to become an officer. Such a Qi was monstrous.
เพียงแค่พลังปราณของเขาก็น่าหวาดกลัวขนาดนี้ หลินเฟิง ไม่กล้าจิตนาการว่าเขาสังหารผู้คนมาเท่าไหร่แล้ว
“Huh?” Lei Qing Tian looked interested when he saw that Lin Feng was remaining calm. Immediately after, he took another step towards Lin Feng. He was now about one meter away from Lin Feng and his bloodthirsty eyes were staring at Lin Feng. He looked like a demon.
“หืมม?” เหลยชิงเทียน ประหลาดใจเมื่อเห็นว่า หลินเฟิงยังอยู่ในท่าทีสงบ จากนั้นเขาก็ก้าวไปอีกหนึ่งก้าว ในตอนนี้เองเขาอยู่ห่างจาก หลินเฟิง เพียงแค่ 1 เมตรเท่านั้น ดวงตาที่กระหายเลือดราวกับปีศาจของเขาจ้องเขม็งไปที่ หลินเฟิง
Lin Feng’s facial expression was still the same. He was calmly looking into these two eyes. With his determination, it was difficult for external things to affect or scare Lin Feng.
การแสดงออกทางสีหน้าของ หลินเฟิง ยังคงเหมือนเดิม เขาจ้องมองเข้าไปในดวงตาของ เหลยชิงเทียน อย่างสงบ ด้วยจิตใจที่แข็งแกร่งของเขา เป็นเรื่องยากที่จะมีสิ่งใดสิ่งผลกระทบต่อจิตใจของ หลินเฟิง
Out of Lin Feng’s body suddenly emerged a dense and thick battle energy. It wasn’t as terrifying as the officer’s Qi but it was piercingly cold and smelt like death. Even if it wasn’t as strong as the powerful Qi he was facing, it was still a brave move from Lin Feng.
ทันใดนั้นร่างกายของ หลินเฟิง ก็ปลดปล่อยพลังงานต่อสู้ที่เฉียบคมและหนาแน่น แม้ว่ามันจะไม่ได้น่าหวาดกลัวเหมือนกับพลังปราณของ เหลยชิงเทียน แต่มันก็ส่งกลิ่นอายของความหนาวเย็นและความตายออกมา
“BOOOM!” Lin Feng took a step forward. He surprisingly didn’t move backward, but forward. After that step, only two steps were separating Lin Feng and Lei Qing Tian. They both looked fierce and determined. The Qi and the burning battle energy collided in the air. Lin Feng’s long hair was fluttering from the wind created by the shockwaves.
“ตู้มมม!” หลินเฟิง ก้าวไปข้างหน้า เหลยชิงเทียน ประหลาดใจ หลินเฟิงไม่ได้ก้าวถอยหลังแต่กลับก้าวมาข้างหน้า พวกเขาทั้ง 2 จ้องมองกันอย่างรุนแรงอย่างต่อเนื่อง พลังปราณและพลังงานถูกเผาไหม้ลอยขึ้นไปในอากาศ ผมที่ยาวของ หลินเฟิง ปลิวไสวไปมา
That entire scene was only about ten seconds in length. Lei Qing Tian’s Qi then slowly vanished. He had a smile on the corner of his mouth.
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียง 10 วินาทีเท่านั้น พลังปราณของ เหลยชิงเทียน หายไปจากนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากของเขา
“Not bad. Not only didn’t you move away from me but you came closer. I like that.” said Lei Qing Tian while smiling wholeheartedly. He tapped Lin Feng’s shoulders which made his body shake. He was extremely strong.
“ไม่เลว ไม่เพียงเจ้าจะไม่ถอยหนีแต่เจ้ายังเผชิญหน้ากับข้าอย่างกล้าหาญ” เหลยชิงเทียน กล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาจับไปที่ไหล่ของ หลินเฟิง แต่ก็ทำให้ร่างกายของ หลินเฟิง ถึงกับสั่นไหว พละกำลังของเขาช่างมหาศาลยิ่งนัก
“No wonder Fei Fei likes him. For someone of his age, having a strength which exceeds the fifth Ling Qi layer is really good.” said the left officer Feng Yu Han while nodding and smiling.
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม เฟยเฟย ถึงได้ชื่นชอบเขา สำหรับบางคนที่อายุเท่านี้แต่ความแข็งแกร่งของเขาถือว่าน่าประทับใจมากจริงๆ” เฟิงยู้หาน พยักหน้าขณะยิ้ม
The atmosphere in the tent wasn’t serious and solemn at all anymore.
ตอนนี้บรรยากาศไม่ได้เต็มไปด้วยความตรึงเครียดอีกต่อไป
“If I’m not mistaken, he has already broken through to the sixth Ling Qi layer, right?” said the middle officer Ren Qing Kuang while smiling. Lin Feng slightly nodded and said: “Officer Ren, you are right.”
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าได้ตัดผ่านไปถึงชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 6 แล้วใช่หรือไม่?” เหลินชิงขวง ยิ้ม หลินเฟิง หยักหน้าเล็กน้อยและกล่าว “ถูกต้องเป็นอย่างที่ท่านกล่าว”
“You are not even eighteen yet. Having reached such a cultivation level is quite impressive. Those who help us here are much weaker. You have unlimited possibilities with your talent. Too bad that you are not going to stay for very long amongst the army.”
“เจ้าอายุยังไม่ครบ 18 ปีบริบูรณ์แต่กลับมีระดับการบ่มเพาะพลังที่น่าประทับใจมากเช่นนี้ ด้วยศักยภาพของเจ้าจะทำให้เจ้ามีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด น่าเสียดายที่เจ้าไม่ได้อยู่ในกองทหารม้าโลหิต”
Ren Qing Kuang’s voice was filled with regret. Talented young cultivators didn’t stay within the army. All they were seeking was enlightenment on the path of cultivation. Even when they fought on the side of the army, it was just to gain practical experience and become stronger. Situations where life and death were at stake helped them to become stronger. That kind of cultivator would leave the army after having completed their training.
น้ำเสียงของ เหลินชิงขวง เต็มไปด้วยความเสียดาย เด็กที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์คนนี้ไม่ได้อยู่ในกองกำลังของเขา หลินเฟิง มาที่นี่เพื่อแสวงหาประสบการณ์และความแข็งแกร่ง การที่ได้เฉียดเข้าใกล้ความเป็นและความตายจะทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลังจากที่เขาก้าวเท้าออกจากที่นี่ก็หมายความว่าการฝึกได้จบสิ้นแล้ว
People like Liu Cang Lan were rare. Because of his function as General, he had many burdens and obligations. He had amazing talent and was constantly getting stronger even with these burdens.
คนอย่าง หลิวชางหลาน หาได้ยากยิ่งนัก เนื่องจากภาระหน้าที่ในฐานะแม่ทัพทำให้เขามีภารกิจมากมาย เขามีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์และภาระหน้าที่ก็ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น
Being a general wasn’t ordinary cultivation training, he had to motivate the hearts of the officers and the troops.
การเป็นแม่ทัพได้จะต้องไม่ใช่ผู้บ่มเพาะพลังธรรมดา เขาจะต้องเป็นผู้ที่สามารถควบคุมและกระตุ้นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาได้ด้วย
Lin Feng’s natural talent was much more frightening than Liu Cang Lan’s talent. He was obviously not going to stay within the army.
พรสวรรค์และศักยภาพของ หลินเฟิง นั้นน่าหวาดกลัวกว่า หลิวชางหลาน แต่เห็นได้ชัดว่าเขาจะไม่เข้าร่วมกับกองทัพเป็นแน่
From the four officers, only Jiu Chi Xie hadn’t said a word. He looked solemn and respectful. His facial expression looked like it had been frozen for a thousand years.
จากผู้บัญชาการทั้ง 4 คน มีเพียงแม่ทัพจิวเท่านั้นที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาดูเงียบสงบและน่ายำเกรง สีหน้าของเขายังคงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“Alright, you can go back to your positions. Chi Xie, you can stay here.” said Liu Cang indifferently. The three officers nodded and left the tent.
“เอาล่ะ พวกเจ้ากลับไปประจำตำแหน่งได้แล้ว แม่ทัพจิว เจ้าอยู่ที่นี่ก่อน” หลิวชางหลาน กล่าวอย่างไม่แยแส ผู้บังคับบัญชาทั้ง 3 พยักหน้าและก้าวออกจากเต้นไป
“Lin Feng.” shouted, Jiu Chi Xie, who had been silent all this time.
“หลินเฟิง” จู่ๆ แม่ทัพจิวที่เงียบมาตลอดก็ตะโกนขึ้น
“Huh?” Lin Feng raised his head and looked Jiu Chi Xie guessing that the man had something to tell him.
“หืม?” หลินเฟิง เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ แม่ทัพจิว ชายคนนี้ต้องการทีจะพูดอะไรกับเขา?
“Lin Feng, in the Chi Xie troops, apart from me as an officer, there are three non-commissioned officers, thirty lieutenants, three hundred sergeants and three thousand guards. In total, there are 28,521 Chi Xie armored horses. All our troops are elite fighters. Our strategy is to fight one against ten. Even though we have less troops than the other factions, if we attack, we win.” said Jiu Chi Xie in a calm and solemn tone. His words were poignant. Besides, he surprisingly perfectly remembered the exact number of Chi Xie horses they had. It was incredible that he knew the exact number, during battles, they could die at any moment, so it was difficult to establish accurate statistics. People would normally just have a general idea.
“หลินเฟิง ในกองกำลังทหารม้าโลหิต นอกจากข้าที่เป็นผู้บังคับบัญชาการ ก็มีอีก 3 คนที่เป็นรองผู้บังคับบัญชา มีหัวหน้ากอง 30 คน มีหัวหน้าหมู่ 300 คนและอีก 3,000 คนเป็นหัวหน้าทหารยาม มีม้าโลหิตอีก 28,521 ตัว กองกำลังของพวกเราทั้งหมดต่างเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยม กลยุทธ์ของพวกเราคือการสู้หนึ่งต่อสิบ แม้ว่าพวกเราจะมีกำลังคนน้อยกว่า แต่ถ้าพวกเราโจมตี พวกเราก็จะชนะ” แม่ทัพจิว กล่าวอย่างเข้งขรึม นอกจากนี้เขายังจดจำ จำนวนม้าโลหิตที่พวกเขามีได้อย่างแม่นยำ
“Lin Feng, will you remember this?” Said Jiu Chi Xie which surprised Lin Feng. Why did Jiu Chi Xie want Lin Feng to remember it?
“หลินเฟิง เจ้าจำทั้งหมดนี้ได้ไหม?” คำกล่าวของแม่ทัพจิว ทำให้ หลินเฟิง ประหลาดใจ ทำไมคนอย่างแม่ทัพจิว ถึงต้องการให้เขาจำ?
But Lin Feng still nodded and said: “I will.”
แต่ หลินเฟิง ก็ยังพยักหน้าและกล่าว “ข้าจำได้”
“Then it’s good. Lin Feng, every single member of the Chi Xie troops is an elite soldier. After each battle, remember how many we have lost. I will then know how many of our brothers have passed away. It will sadden me more with each death. So that next time, I will do my best and spare no efforts to greatly reduce the number of my brothers that have to die.”
“ดี หลินเฟิง สมาชิกทุกคนของกองทหารม้าโลหิตมีชื่อเสียง หลังจากการต่อสู้แต่ละครั้ง ต้องจำไว้ว่าเราสูญเสียไปเท่าไหร่ ข้าจะได้รู้ว่าพี่น้องของเราได้ล่วงลับไปแล้วกี่คน แต่ละคนที่จากไปทำให้ข้าเสียใจมาก ดังนั้นครั้งต่อไป ข้าจะทำให้ดีที่สุดและพยายามเผื่อในส่วนของพี่น้องที่ตายไป”
Jiu Chi Xie was speaking from his heart. Lin Feng deeply respected him Jiu Chi Xie was indubitably an outstanding officer who was like a brother to his troops which is why he remembered all of them.
แม่ทัพจิว พูดออกมาจากหัวใจซึ่งทำให้ หลินเฟิง รู้สึกเลื่อมใสในตัวเขา แม่ทัพจิว เป็นทหารที่โดดเด่นซึ่งเปรียบเสมือนพี่ใหญ่ของเหล่าทหารทั้งหมดนั่นคือเหตุผลที่เขาต้องจดจำสมาชิกทหารทุกคน...
Cr.tuiimyk แปลเล่นๆครับ ไม่อยากรอนานๆ ถ้าตกหล่นแปลผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ มือใหม่ครับ
อ่าน Eng ได้ที่ http://totallyinsanetranlation.com/peerless-martial-god-index/
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รบกวนกดโฆษณาเพื่อเป็นกำลังให้แก่ผู้แปลด้วยนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น