ตอนที่ 200 จิตวิญญาณคู่
Outside of Duan Ren, only hills and valleys could be seen over the boundless distance.
ที่ด้านนอกเมืองต้วนเหลิน มีเพียงเนินเขาและหุบเขาเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
That area was covered with dust blowing in the wind. In that remote area, white tents were erected everywhere which looked like a small city.
ในพื้นที่บริเวณนั้นมันถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองในสายลม ในพื้นที่อันห่างไกลนั้น เต็นส์สีขาวได้ถูกกางขึ้นทุกหนทุกแห่งซึ่งทำให้มันดูคล้ายกับเมืองขนาดเล็ก
The troops stationed there all belonged to the Xue Yue Country.
กองทัพที่ประจำการอยู่ที่นั่นทั้งหมดเป็นทหารของแคว้นซุ่วเย่ว
Duan Ren Border was the only way to reach Duan Ren City. Besides, Duan Tian Border was just a huge valley. From Duan Ren City, there was a panoramic view of the valley so if enemies came, they could easily spot them with a glance.
ชายแดนต้วนเหลินเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่สามารถไปยังเมืองต้วนเหลินได้ นอกจากนี้ ชายแดนต้วนเหลินเป็นเพียงแค่หุบเขาขนาดใหญ่ จากเมืองต้วนเหลินหากศัตรูมาถึงพวกเขาสามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดาย
Therefore, Liu Cang Lan couldn’t let the troops of Mo Yue enter Duan Ren Border that easily. He had troops guarding the outer border. Except for critical situations, his troops normally wouldn’t go to Duan Ren Border.
ดังนั้น หลิวชางหลาน จึงไม่สามารถปล่อยให้กองทัพของอาณาจักรม่อเย่ เข้าไปในชายแดนต้วนเหลินได้อย่างง่ายดาย เขามีกองทัพเฝ้าชายแดนอยู่ด้านนอก ยกเว้นสถานการณ์จะขับขันจริงๆโดยปกติแล้วเขาจะไม่ปล่อยให้กองทัพของเขาไปยังชายแดนต้วนเหลิน
At that moment, Lin Feng and Liu Cang Lan were together above the city gate of Duan Ren City. They were looking at Duan Tian Lang and his troops. They had passed through Duan Ren City and were heading towards the border.
ในขณะนั้นเอง หลินเฟิง และ หลิวชางหลาน ที่อยู่ด้วยกัน พวกเขายืนอยู่ด้านบนของประตูเมืองต้วนเหลิน พวกเขากำลังมองไปที่ ต้วนเทียนหลาง และกองทัพของเขา พวกเขาเดินผ่านเมืองต้วนเหลินและกำลังมุ่งหน้าตรงไปยังชายแดน
Liu Cang Lan had eventually allowed Duan Tian Lang to come into Duan Ren City but there was only one condition, he and his troops were not allowed to stay in Duan Ren City. They had to leave immediately and go to Duan Ren Border and establish their military camp. They had to stay there and defend in case of attack.
หลิวชางหลาน ได้อนุญาตให้ ต้วนเทียนหลาง เข้ามาในเมืองต้วนเหลิน แต่มีเงื่อนไขหนึ่งข้อ กองทัพของเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในเมืองต้วนเหลิน พวกเขาต้องจากไปทันทีและไปที่ชายแดนต้วนเหลิน และตั้งค่ายทหารของพวกเขา พวกเขาต้องอยู่ที่นั่นและปกป้องชายแดนหากถูกโจมตี
Duan Tian Lang had accepted those conditions. Once inside Duan Ren City, he had surprisingly continued and moved towards Duan Ren Border.
ต้วนเทียนหลาง ได้ยอมรับเงื่อน เมื่อเข้ามาในเมืองต้วนเหลิน เขาได้เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆและตรงไปยังชายแดนต้วนเหลิน
“Lin Feng, let’s go to the campsite.” said Liu Cang Lan indifferently when he saw that the troops were moving to the Duan Ren Border. Lin Feng slightly nodded and they immediately went down the stairs and headed towards the Duan Ren Border.
“หลินเฟิง เจ้าจงไปจุดตั้งค่ายทหาร” หลิวชางหลาน กล่าวอย่างเฉยเมย เมื่อเขาเห็นกองทัพกำลังเคลื่อนทัพไปยังชายแดนต้วนเหลิน หลินเฟิง พยักหน้าเล็กน้อยและเขาก็รีบลงบันไดทันที และมุ่งหน้าไปยังชายแดนต้วนเหลิน
In Duan Ren Border, there were countless old broken weapons on the ground. While walking through the valley, the wind was howling. Immediately after, coldness invaded Lin Feng’s body started in the legs and then spreading to the rest of his body. Lin Feng’s heart started beating a bit faster.
ในชายแดนต้วนเหลิน มีอาวุธที่เก่าและแตกเสียหายนับไม่ถ้วนอยู่บนพื้น ขณะที่กำลังเดินผ่านหุบเขา ได้มีลมพัดผ่านมา ทันทีหลังจากนั้น ได้มีความหนาวเย็นเข้าไปในร่างของ หลินเฟิง เริ่มจากที่ขาแล้วแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้หัวใจของ หลินเฟิง นั้นเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย
There were so many weapons covering the ground in Duan Ren Border. They had all been broken during the war and their owners had all died on the battlefield. Those days, Duan Ren Border was a sea of broken weapons which diffused a cold energy like mist across the ground.
มีอาวุธจำนวนมากมายปกคลุมไปทั่วชายแดนต้วนเหลิน พวกมันพังเสียหายในช่วงสงครามและเจ้าของของพวกมันล้วนตายในสนามรบ ในวันนั้น ชายแดนต้วนเหลินเป็นทะเลอาวุธที่ชำรุด ซึ่งได้แผ่กระจายพลังงานอันเยือกเย็นราวกับหมอกปกคลุมพื้่นดิน
Lin Feng inhaled a deep breath. He looked calm and solemn, but his heart was trembling. It was impossible for anyone to look at such a scene and not be touched.
หลินเฟิงหายใจเข้าลึกๆ เขาดูสงบและเคร่งขรึม แต่หัวใจของเขากำลังสั่นไหว มันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับทุกๆคนที่มองฉากดังกล่าวและจะสัมผัสถึงมันไม่ได้
They walked to the other side of Duan Ren Border where there was a precipice.
พวกเขาเดินไปอีกฟากหนึ่งของชายแดนต้วนเหลิน ที่ที่มีหน้าผาอยู่
Lin Feng gazed into the distance and thought that the cliffs were incredibly beautiful but he was still aware that danger lurked there.
หลินเฟิง มองจากระยะไกลและคิดว่าหน้าผานั้นช่างสวยงามอย่างมาก แต่เขาก็ยังคงตระหนักถึงอันตรายที่แฝงอยู่ที่นั่น
Liu Cang Lan could easily take advantage of the landscape.
หลิวชางหลาน สามารถใช้ประโยชน์จากภูมิทัศน์ได้อย่างง่ายดาย
Even though there was no imminent danger at the moment, as before, Lin Feng felt an oppressive cold Qi while walking in the valley. Only after having entirely passed through it could Lin Feng relax.
ถึงแม้จะไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นในตอนนี้ก็ตาม แต่ก่อนหน้านี้ หลินเฟิง รู้สึกได้ถึงพลังปราณอันหนาวเย็นขณะที่เขาได้เดินอยู่ในหุบเขา หลังจากที่ หลินเฟิง ได้เดินผ่านมันไปทำให้ หลินเฟิง ผ่อนคลายลง
“Psshhhh….”
"ฟิ้วว..."
There were tents as far as Lin Feng’s eyes could see. At that moment, he took a very deep breath and said: “Uncle Liu, how many troops are there here?”
มีค่ายทหารเท่าที่สายตาของ หลินเฟิง สามารถมองเห็นได้ในขณะนั้น หลินเฟิง หายใจเข้าลึกๆ และกล่าวว่า: “ท่านลุงหลิว ที่นี่มีทหารอยู่กี่คนงั้นรึ?”
“Three hundred thousand.” replied Liu Cang Lan indifferently. In the Continent of the Nine Clouds, amongst cultivators, there weren’t many who were willing to join the army. Otherwise, three hundred thousand stationed troops was a trivial number considering that the Xue Yue Country had billions of people.
“สามแสนนาย” หลิวชางหลาน ตอบอย่างไม่แยแส ในทวีปเก้าเมฆา ในหมู่ผู้บ่มเพาะพลังมีไม่มากนักที่จะยินดีเข้าร่วมกับกองทัพ ทหารสามแสนนายนับว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับประชากรนับพันล้านคนในซุ่วเย่ว
The Mo Yue Country was entirely unified under their Emperor. There wasn’t any sects, which had influence. In their country, they always say ‘A single army is stronger’. Amongst the nine other countries of Xue Yue, their army was considered as one of the strongest. They had over three million troops. They always had ambitions to conquer the other countries. Xue Yue and Mo Yue were neighbors so Mo Yue wanted to take the initiative to invade.
ในอาณาจักรม่อเย่ ที่อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ ไม่มีนิกายใดๆที่มีอิทธิพล ในแคว้นของพวกเขา พวกเขามักพูดกันว่า ‘กองทัพเพียงหนึ่งเดียวนั้นแข็งแกร่ง’ ในแคว้นอื่นๆนอกเหนือจากแคว้นซุ่วเย่ว กองทัพของพวกเขาเป็นหนึ่งในกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขามีทหารมากกว่า 3 ล้านคน พวกเขามีความทะเยอทะยานที่จะพิชิตแคว้นอื่นๆ แคว้นซุ่วเย่ว และแคว้นม่อเย่นั้นติดกัน ดังนั้นแคว้นม่อเย่จึงต้องการที่จะรุกราน
“The sentinels have reported that this time, the Mo Yue army has over five hundred thousand troops.” said Liu Cang Lan indifferently. Lin Feng was astonished. That meant two hundred thousand more than them. That was a terrifying amount.
“ในเวลานี้หน่วยรักษาการณ์ได้รับรายงานมาว่า กองทัพของม่อเย่ มีกำลังทหารมากกว่า 5 แสนนาย” หลิวชางหลาน กล่าวอย่างเฉยเมย หลินเฟิงประหลาดใจ นั่นหมายความว่าพวกมันมีทหารมากกว่าพวกเขาถึงสองแสนนาย นั่นเป็นจำนวนที่น่าหวาดกลัวอย่างมาก
“Duan Tian Lang also brought a hundred thousand troops, if he wholeheartedly cooperates with me, the Mo Yue Country is far from being able to invade us. Our geographical position is very advantageous. The opponents may have five hundred thousand troops but if Duan Tian Lang and I manage to efficiently cooperate then the terrain advantage will make it too difficult for them to invade.” said Liu Cang Lan. There wasn’t much hope but, Liu Cang Lan had high expectations.
“ต้วนเทียนหลางก็ได้นำทหารมาจำนวน 1 แสนนาย ถ้าเขาให้ความร่วมมือกับข้า แคว้นม่อเย่ก็ยากที่จะรุกรานพวกเรา จุดยุทธศาสตร์ของพวกเรานั้นเป็นประโยชน์อย่างมาก ฝ่ายตรงข้ามอาจมีกองทัพห้าแสนนาย แต่ถ้า ต้วนเทียนหลาง และข้าร่วมมือกัน ความได้เปรียบเรื่องภูมิประเทศจะทำให้พวกมันยากที่จะรุกราน” หลิวชางหลาน กล่าวแม้จะมีความหวังไม่มากนัก แต่ หลิวชางหลาน ก็คาดหวังไว้สูง
The soldiers on the Chi Xie armored horses were rigorously protecting the campsite. The best soldiers of were there.
ทหารม้าหุ้มเกราะกำลังปกป้องพื้นที่ค่ายทหารอยู่ ทหารที่ดีที่สุดได้ประจำการที่นั่นแล้ว
Liu Cang Lan and Lin Feng arrived on the campsite and said: “Make Han Man and Po Jun come to my tent.”
หลิวชางหลาน และ หลินเฟิง ได้มาถึงค่ายทหารแล้วและเขากล่าวว่า “พา หานหมาน และปู้จุน มาที่เต็นท์ของข้า”
“Roger, General.” said an officer. A short time after, two silhouettes entered the tent. The one leading them was a robust young man. His face was well proportioned according to his body. He looked determined and strict.
“รับทราบ” นายทหารกล่าว หลังจากนั้นไม่นาน ร่างเงาสองร่างก็เข้ามาในเต็นท์ ร่างหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งกำยำ ใบหน้าของเขาเหมาะสมกับสัดส่วนตามร่างกายของเขา เขาดูหนักแน่นและมั่นคง
These two people were both wearing red armor.
ทั้งสองคนนี้กำลังสวมชุดเกราะสีแดง
The two people moved into the tent. They were about to salute Liu Cang Lan but when they saw Lin Feng, they were dumbstruck. Immediately after, inside his armor, a wholehearted smile appeared on the face of the robust man.
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในเต็นท์ พวกเขากำลังจะทักทาย หลิวชางหลาน แต่เมื่อวพ;กเขาเห็นหลินเฟิง ทำให้พวกเขามึนงง ทันทีหลังจากนั้น ภายใต้ชุดเกราะของพวกเขา ได้ปรากฏรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความจริงใจบนใบหน้าของชายหนุ่มที่แข็งแกร่งกำยำ
“Lin Feng, big brother.” Han Man rushed over to tightly hugged Lin Feng. Behind him, Po Jun was also smiling warmly. No sharp Qi was being released from his body but he was as full of vitality.
“พี่ใหญ่ หลินเฟิง” หานหมาน รีบวิ่งเข้าไปกอด หลินเฟิง ข้างหลังเขา ปู้จุน ก็กำลังยิ้มอย่างอบอุ่นให้เช่นกัน ไม่มีพลังปราณที่แหลมคมใดๆถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขา แต่เขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
“Lin Feng, you guys can chat, I am going to see Duan Tian Lang as he settles down.” said Liu Cang Lan with a warm and soft smile on his face. Immediately after, he left the tent leaving Lin Feng and his friends alone.
“หลินเฟิง พวกเจ้าสามารถคุยกันได้ตามสบาย ส่วนข้าจะออกไปดู ต้วนเทียนหลาง” หลิวชางหลาน กล่าวพร้อมกับปรากฏรอยยิ้มอันอบอุ่นและอ่อนโยนบนใบหน้าของเขา หลังจากนั้นเขาก็ออกจากเต็นท์ทันทีปล่อยให้ หลินเฟิงและสหายของเขาอยู่กันตามลำพัง
“Han Man, Po Jun, are you getting used to this place?” asked Lin Feng.
“หานหมาน ปู้จุน พวกเจ้าคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้แล้วหรือยัง?” หลินเฟิง ถาม
“We are used to it. Lin Feng, big brother, Po Jun and I are now controlling elite troops. The General has put them under our control. They are all very strong and all have an outstanding background.”
“พวกเราคุ้นเคยแล้วพี่ใหญ่หลินเฟิง ในตอนนี้ ปู้จุน และข้าได้ควบคุมกองทัพชั้นยอด ท่านแม่ทัพได้นำพวกเขามาอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเรา พวกเขาทุกคนล้วนเป็นคนที่แข็งแกร่งและมีภูมิหลังที่โดดเด่น”
Han Man’s voice was filled with pride. He hadn’t been there for a very long time and already had a thousand troops under his control. To achieve this, he had only relied on his own efforts. Liu Cang Lan wasn’t the type of person who gave privileges to people because he was friendly with them but he knew how to recognize people’s natural talents.
เสียงของ หานหมาน นั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขายู่ที่นี้ได้ไม่นาน แล้วในตอนนี้เขาได้มีกองทัพที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขานับพันคน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เขาได้พึ่งความพยายามของตนเองเพียงเท่านั้น หลิวชางหลาน ไม่ใช่คนที่จะมอบสิทธิพิเศษให้แก่ผู้อื่นหากเขาสนิทสนมกัน แต่เขารู้วิธีใช้พรสวรรค์ตามธรรมชาติของผู้คน
“Have you been in many dangerous situations?” Lin Feng didn’t really care about what his two friends had accomplished, he was more concerned with their safety.
“พวกเจ้าอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากเพียงใดรึ?” หลินเฟิง ไม่ได้สนใจความสำเร็จของพวกเขาทั้งสองเลยแม้แต่น้อย เเต่เขากังวลเรื่องความปลอดภัยของพวกเขามากกว่า
“We haven’t been in many dangerous situations. Po Jun and I have broken through to the fourth Ling Qi layer.” said Han Man while smiling proudly making Po Jun smile wryly. “Lin Feng, brother, Han Man has become a monster. There were some enemies waiting in an ambush outside of the country. In the end, he ended up fighting against two strong cultivators of the fifth Ling Qi layer and slaughtered them as well as all the rest of their members. His spirit has awakened and it provides him with endless strength. However, when he killed them, his body was completely wrecked by the time the battle was over.”
“พวกเขาไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมากนัก ปู้จุนและข้าได้ตัดผ่านชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 4 แล้ว” หานหมาน กล่าวขณะยิ้มให้ปู้จุน ทำให้ ปู้จุน ยิ้มอย่างบูดเบี้ยว “พี่ใหญ่ หลินเฟิง หานหมานได้กลายเป็นสัตว์ประหลาด มีศัตรูบางคนกำลังรอซุ่มโจมตีอยู่ภายนอกแคว้น ในท้ายที่สุด เขาได้จบการต่อสู้ด้วยการสังหารผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 5 ถึง 2 คน และคนอื่นๆอีกที่เป็นพวกของพวกมันด้วย จิตวิญญาณของเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว และทำให้เขามีความแข็งแกร่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เขาสังหารพวกมัน ร่างกายของเขาเองก็บาดเจ็บอย่างรุนแรงเช่นกันเมื่อสิ้นสุดการต่อสู้”
“Alone, he killed two cultivators of the fifth Ling Qi layer as well as all the other people?” Lin Feng’s pupils shrank. He was pleasantly surprised. Besides, Han Man had just broken through to the fifth Ling Qi layer.
“เขาสังหารผู้บ่มเพาะพลังชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 5 ถึง 2 คนและคนอื่นๆอีกด้วยตัวเอง?” ดวงตาคู่นั้นของ หลินเฟิง สั่นไหว เขาช่างทำให้ประหลาดใจอย่างมาก นอกจากนี้ หานหมาน เพิ่งได้ตัดผ่านชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 5 แล้ว
Han Man scratched his head with a shy smile on his face. He then said: “I don’t know what happened either. Since my spirit awakened, it seems like I am able to fuse with the earth and absorb its strength to make it my own. With this power, killing these two cultivators of the fifth Ling Qi layer wasn’t too difficult.”
หานหมาน เกาหัวพร้อมกับยิ้มอย่างเขินอาย จากนั้นเขาก็ตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากจิตวิญญาณของข้านั้นได้ตื่นขึ้น มันทำให้ราวกับว่าสามารถหลอมรวมเข้ากับพื้นปฐพีและดูดซับพลังของมันให้มาเป็นของข้าได้ ด้วยพลังนี้ มันทำให้ข้าสามารถสังหารผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 5 นั้นไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย”
“Could it be a blood spirit…?” thought Lin Feng. When Han Man was at the Prisoner Arena, his spirit had awakened once already when he broke through to the Ling Qi layer. It was obviously different than a normal spirit as it had awakened a second time.
“เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันเป็นจิตวิญญาณทางสายเลือด…?” หลินเฟิง คิด เมื่อ หานหมาน อยู่ที่ลานประลองนักโทษ จิตวิญญาณของเขาได้ตื่นขึ้นมาแล้วเมื่อเขาได้ตัดผ่านชั้นจิตวิญญาณ มันเห็นได้ชัดว่าจิตวิญญาณของเขาแตกต่างจากจิตวิญญาณทั่วๆไป เพราะมันตื่นขึ้นมาเป็นรอบที่สอง
“Lin Feng, Po Jun speaks highly of me but he’s also been hiding things from us. He is also able to defeat cultivators of the fifth Ling Qi layer.” said Han Man which made Lin Feng stupefied. Po Jun was also able to defeat cultivators of the fifth Ling Qi layer?
“หลินเฟิง ปู้จุน พูดถึงข้ามากเกินไป แต่เขาไม่ยอมพูดถึงเรื่องของตัวเอง เขาก็สามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 5 ได้เหมือนกัน” หานหมาน กล่าวซึ่งทำให้หลินเฟิง เองก็ประหลาดใจ ปู้จุน สามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ชั้นจิตวิญญาณขั้นที่ 5 ได้งั้นรึ?
“Be honest and explain these things to Lin Feng yourself.” said Han Man while glancing at Po Jun.
“จงซื่อตรงและอธิบายเรื่องพวกนี้ให้ หลินเฟิง ฟังด้วยตัวเองเถอะ” หานหมาน กล่าวขณะเหลือบไปมอง ปู้จุน
Po Jun shook his head while smiling and immediately walked towards Lin Feng: “Lin Feng, big brother, take a look.”
ปู้จุน พยักหน้าขณะยิ้มและเดินตรงไปหา หลินเฟิง ทันที : พี่ใหญ่หลินเฟิง เชิญดูนี่”
While speaking, Po Jun stretched his hand and a vine slowly emerged. It looked like an illusion but was real. When it reached Lin Feng’s body, Lin Feng could feel that it was solid. That was Po Jun’s vine spirit which he could use to attack people by surprise.
ในขณะที่กำลังพูด ปู้จุน เริ่มยื่นมือของเขาและเถาวัลย์ก็ได้ปรากฏออกมาอย่างช้าๆ มันดูเหมือนกับภาพลวงตา แต่มันเป็นของจริง เมื่อมันแตะร่างของ หลินเฟิง หลินเฟิงสามารถรู้สึกได้ว่ามันแข็ง นั่นคือจิตวิญญาณเถาวัลย์ของ ปู้จุน ไม่ผิดซึ่งเขาสามารถใช้มันสุ่มโจมตีคนอื่นทีเผลอได้
But at that moment, a sharp energy suddenly emerged from Po Jun’s body. His pupils suddenly became dark and looked piercingly sharp.
แต่ในขณะนั้นเอง พลังที่แหลมคมจู่ๆก็ออกมาจากร่างของ ปู้จุน จู่ๆม่านตาของเขาก็กลายเป็นสีดำและดูแหลมคม
A black illusion suddenly slowly emerged from his back. In the middle of that illusion, a long black spear was floating and was pointing towards the vault of heaven.
ทันใดนั้นได้มีภาพลวงตาสีดำค่อยๆปรากฏออกมาจากแผ่นหลังของเขา ในใจกลางของภาพลวงตานั้นมีหอกยาวสีดำลอยขึ้นมาและชี้ไปยังสรวงสวรรค์
“Dual spirit.” Lin Feng’s pupils shrank. That was another spirit.
“จิตวิญญาณคู่” หลินเฟิง หรี่ตาลง นั่นเป็นอีกจิตวิญญาณหนึ่ง
Po Jun had a dual spirit!
ปู้จุน มีจิตวิญญาณคู่!
The vine spirit and the illusionary spear vanished in the blink of an eye. Po Jun was smiling indifferently. His dual spirit were his most powerful trump card. He even hid it from Han Man for a while.
จิตวิญญาณเถาวัลย์และหอกมายาจางหายไปในพริบตา ปู้จุน ยิ้มอย่างเฉยเมย จิตวิญญาณคู่ของเขาเป็นไพ่ตายที่ทรงพลัง เขาเองก็เคยซ่อนมันไว้แม้แต่หานหมานก็ไม่รู้
“Haha, awesome, a dual spirit… Po Jun, you and Han Man are the same, you are both geniuses. No wonder when I first met you, the expression in your eyes looked so sharp.”
“ฮ่าๆๆ ยอดเยี่ยม นั่นมันจิตวิญญาณคู่…..ปู้จุน เจ้าและ หานหมาน เจ้าทั้งคู่ล้วนเป็นอัจฉริยะ ไม่แปลกใจเลยเมื่อข้าเจอพวกเจ้าครั้งแรก การแสดงออกในดวงตาของพวกเจ้าถึงได้เฉียบคม”
Lin Feng was smiling wholeheartedly. His two good friends were amazingly strong which made him very happy. Han Man’s spirit had been awakened a second time which probably meant he possessed a blood spirit and Po Jun surprisingly had a dual spirit which was extremely rare.
หลินเฟิง ยิ้มจากใจจริง สหายที่ดีของเขาทั้งสองคนล้วนแต่แข็งแกร่งได้อย่างไม่น่าเชื่อซึ่งทำให้เขามีความสุขอย่างมาก จิตวิญญาณของ หานหมาน ตื่นขึ้นมาเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งนั่นอาจหมายถึงเขามีจิตวิญญาณทางสายเลือด และ ปู้จุน มีจิตวิญญาณคู่ซึ่งเป็นอะไรที่หาได้ยากมาก
“Having a dual spirit is no big deal, especially when you have a big slave mark on your face. It’s as if I already died long ago in the Prisoner Arena.” said Po Jun while sighing.
“การมีจิตวิญญาณคู่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีอะไรมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกข้ามีสัญลักษณ์ทาสขนาดใหญ่อยู่บนใบหน้า ราวกับว่าข้าได้ตายไปนานแล้วในลานประลองนักโทษ” ปู้จุน กล่าวขณะถอนหายใจ
Lin Feng looked at Po Jun and said: “Po Jun, don’t worry about that mark on your face, sooner or later, I will help you remove it.”
หลินเฟิง มองไปที่ ปู้จุน และกล่าวว่า “ปู้จุน ไม่ต้องกังวลเรื่องตราประทับทาสบนใบหน้าของเจ้า ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะช่วยเจ้าลบมันออกไป”
Every drop of blood could go through a rebirth process on the path of cultivation. It was very easy to modify and alter the network of blood vessels, therefore, removing that slave mark would be as easy as turning one’s hand over.
เลือดทุกหยดจะผ่านขั้นตอนการเกิดใหม่บนเส้นทางการบ่มเพาะพลัง การปรับเปลี่ยนและแก้ไขเลือดนั้นง่ายมาก ดังนั้นการลบเครื่องหมายทาสนั้นจะทำได้ง่ายเหมือนกับการพลิกมือ
“That’s right, don’t get depressed. We will get rid of these marks, sooner or later.” said Han Man while smiling and continued: “Lin Feng, let’s go for a walk. I will tell you more about the other troops and the current situation.”
“ใช่แล้ว อย่าได้หดหู่เลย ไม่ช้าก็เร็ว พวกเราจะลบเครื่องหมายทาสออกไป” หานหมาน กล่าวและพูดต่ออีกว่า: “หลินเฟิง พวกเราเดินไปคุยไปกันเถอะ ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับกองทัพอื่นๆและสถานการณ์ในปัจจุบัน”
“Alright.” Lin Feng nodded and immediately after, the three friends left the tent.
“ตกลง” หลินเฟิง พยักหน้าและหลังจากนั้นทั้งสามคนก็ออกจากเต็นท์ในทันที
They walked towards the troops outside of the tent.
พวกเขาเดินตรงไปยังเหล่าทหารที่อยู่ด้านนอกเต็นท์
Po Jun said: “Lin Feng, big brother, amongst the troops, there are different categories, the guards, the sergeants, the lieutenants, the non-commissioned officers and the officers. The guards have ten soldiers under their control. The sergeants have ten guards, and therefore indirectly a hundred soldiers, under their control. The lieutenants which Po Jun and I are, have ten sergeants under their control and indirectly control all of their soldiers, which is a thousand in total. Even higher in the ranks, there are the non-commissioned officers who control ten lieutenants and therefore ten thousand soldiers.”
ปู้จุน กล่าวว่า “พี่ใหญ่หลินเฟิง ในหมู่ทหารจะมีตำแหน่งที่แตกต่างกัน คือ หัวหน้ายาม, หัวหน้าหมู่, นายกอง, รองผู้บังคับบัญชา ,ผู้บังคับบัญชา หัวหน้ายามจะมีทหารสิบคนอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา หัวหน้าหมู่จะดูแลหัวหน้ายาม 10 คน และมีทหาร 100 คนภายใต้การควบคุมของพวกเขา ส่วนนายกอง ข้าและ ปู้จุน อยู่ในตำแหน่งนี้ ซึ่งมีหัวหน้าหมู่ 10 คนอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาและควบคุมทหารของพวกเขาทางอ้อม ซึ่งมีทหารทั้งหมด 1000 คน และยศที่สูงกว่านี้ คือ รองผู้บัญชาการ ซึ่งควบคุมนายกอง 10 คน และมีทหารนับหมื่นนาย”
“Our troops are composed of a total of three hundred thousand soldiers. Excluding General Liu Cang Lan, there are three officers divided into a left, right and middle. Besides, each officer has ten non-commissioned officers under their control.”
“กองทัพของเรามีทหารทั้งหมด 3 แสนนาย ไม่รวมท่านแม่ทัพ หลิวชางหลาน และผู้บัญชาการทั้งสามคน นอกจากนี้ผู้บัญชาการแต่ละคนยังมีรองผู้บังคับบัญชา 10 คนอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา “
“Besides, there are also the Chi Xie armored troops with special commanders. Po Jun and I are part of that category. ”
“นอกจากนี้ พวกเขายังมีกองทัพติดอาวุธทหารม้าอยู่กับผู้บัญชาการเป็นกรณีพิเศษด้วย ปู้จุน และข้าเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยนั้น”
Lin Feng understood how the military ranks worked. The hierarchy was strict. It didn’t differ much from the previous world. The lower ranked had to execute the orders given by the higher ranked.
หลินเฟิงเข้าใจยศของทหาร ลำดับชั้นนั้นมันเข้มงวดอย่างมาก มันไม่ได้แตกต่างจากโลกที่แล้วของเขามากนัก ลำดับที่ต่ำกว่าต้องทำตามคำสั่งของลำดับที่สูงกว่า...
Cr.tuiimyk แปลเล่นๆครับ ไม่อยากรอนานๆ ถ้าตกหล่นแปลผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ มือใหม่ครับ
อ่าน Eng ได้ที่ http://totallyinsanetranlation.com/peerless-martial-god-index/
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รบกวนกดโฆษณาเพื่อเป็นกำลังให้แก่ผู้แปลด้วยนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น