ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Translate

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Advice โปรแรงส่งท้ายปี ลดทั้งเว็บสูงสุด 20% 19-25 ธันวา 16

Peerless Martial God ตอนที่ 174


ตอนที่ 174 เริ่มต้นการต่อสู้ !










ชายในเสื้อคลุมสีม่วงเดินตรงไปยังที่นั่งประธาน  เขาคิดว่ามันถูกจองไว้สำหรับเขาอย่างแน่นอน


ตระกูลหยูมีอิทธิพลอย่างมาก แม้ว่ารองอาจารย์ใหญ่จะทำตัวไม่สุภาพกับพวกเขา แต่เขาก็ได้เตรียมที่นั่งไว้ให้กับพวกเขา หากไม่เตรียมไว้จะทำให้พวกเขาเสียหน้า


แต่ในขณะที่พวกเขากำลังนั่งลง พวกเขาได้ยินรองอาจารย์ใหญ่หลงกล่าวว่า ท่านหยู ท่านไม่สามารถนั่งตรงนี้ได้


ข้านั่งไม่ได้?ชายในเสื้อคลุมสีม่วงขมวดคิ้ว เขามองไปที่รองอาจารย์ใหญ่หลงและกล่าวว่า หลงติง ถ้าข้าไม่สามารถนั่งตรงนี้ได้แล้วใครเป็นคนนั่ง?


ข้าบอกท่านได้เพียงว่าที่ตรงนี้ถูกสงวนไว้ ไม่ว่าท่านยังอยากนั่งตรงนี้หรือไม่มันเป็นการตัดสินใจของท่าน หลงติงกล่าวอย่างหยาบคายกับชายที่สวมเสื้อคลุมสีม่วง ทันทีหลังจากนั้น เขาก็นั่งลงข้างๆที่นั่งหลัก ส่วนชายในเสื้อคลุมม่วงยังคงลังเล


ถ้าหลงติงนั่งลงบนที่นั่งประธาน เขาก็จะโกรธเกรี้ยวอย่างมากแต่หลงติ่งไม่ได้แสดงอาการเช่นนั้น เขานั่งลงบนที่นั่งถัดจากที่นั่งประธานทำให้ชายในเสื้อคลุมม่วงลังเล เป็นไปได้ไหมว่าที่ตรงนั้นเป็นที่นั่งของบุคคลสำคัญมากๆที่กำลังจะมาถึงขนาดหลงติ่งเองยังไม่สามารถนั่งที่ประธานนี้ได้?


หรือมันเป็นเพราะ..เขา?


ได้เกิดความคิดในใจและภาพเงาก็ปรากฏขึ้นในความคิดของเขา แม้มันจะเป็นการคาดเดาแต่เขาก็นั่งลงบนที่นั่งอื่น ถัดจากที่นั่งประธาน


สมาชิกของสถาบันสำนักสวรรค์กำลังรอดูการต่อสู้บนเวทีอย่างสงบ พวกเขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่ารองอาจารย์ใหญ่หลงและตระกูลหยู ไม่ค่อยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเขาดูไม่ค่อยเป็นมิตรกันซักเท่าไหร่และการสนทนาของพวกเขานั้นราวกับเป็นการพูดโต้เถียงกัน จนเกือบจะดูเหมือนว่าพวกเขาต่างเกลียดชังซึ่งกันและกัน


สมาชิกของลานศักดิ์สิทธิ์และสมาชิกของตระกูลเนี้ยไม่ได้นั่งห่างกัน ฝูงชนไม่รู้ว่ามันมีความหมายบางอย่างหรือไม่ สมาชิกของลานศักดิ์สิทธิ์นั่งลงข้างๆหลงติงและสมาชิกคนอื่นๆจากสถาบันสำนักสวรรค์


ท่านรองอาจารย์ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าสถาบันสำนักสวรรค์มีศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุด 10 คน ขณะที่ลานศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ได้สร้างเสร็จแล้ว ข้าคิดว่าอาจจะมีการแข่งขันกันระหว่างลานศักดิื์สิทธิ์และสถาบันสำนักสวรรค์ ท่านคิดว่าเยี่ยงไร?


ในใจกลางของฝูงชนที่อยู่ในกลุ่มลานศักดิ์สิทธิ์ซุ่วเย่ว มีคนเริ่มที่จะถามคำถามซึ่งทำให้หลายๆคนต่างประหลาดใจกับสถาบันสำนักสวรรค์


ลานศักดิ์สิทธิ์ซู่วเย่วนั้นถูกสร้างขึ้นโดยการเลือกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดจากนิกายใหญ่ๆ  มีแม้แต่สองในแปดปรมจารย์รุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าศิษย์ของสถาบันสำนักสวรรค์จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่พวกเขานั้นจะแข่งกับศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดของนิกายใหญ่ๆได้อย่างไรกัน?


นิกายเฮ่าเย่ว, นิกายหยุนไห่, นิกายหวานโช่วเหมิน และหมู่บ้านหุบเขาหิมะน้ำแข็ง มีอิทธิพลมากในแคว้นซู่วเย่ว พวกเขาทำให้ศิษย์ของพวกเขาบางคนบรรลุระดับพลังที่สูงขึ้นและคนที่แข็งแกร่งที่สุดได้ย้ายไปอยู่ในลานศักดิ์สิทธิ์ซู่วเย่ว ลานศักดิ์นั้นป็นสถานที่ที่ทรงพลังอย่างมาก ถ้าสถาบันสำนักสวรรค์ต่อสู้กับพวกเขาแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องพ่ายแพ้


สถาบันสำนักของข้ายังอ่อนแอเกินไป พวกเรายังคงต้องปรับปรุงให้มากขึ้นเพื่อให้สามารถแข่งขันกับลานศักดิ์สิทธิ์ได้ พวกเราต้องพยายามที่จะก้าวไปทีละก้าว แต่ท่านเลือกนักเรียนที่ดีที่สุดจากนิกายที่ดีที่สุดและนำมารวมไว้ในที่เดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีการแข่งขันหรอก พวกข้านั้นอ่อนแอเกินไป "


หลงติงกล่าวขณะที่น้ำเสียงของเขาทำให้ผู้คนของลานศักดิ์สิทธิ์รู้สึกเพลิดเพลิน สำนักสวรรค์อ่อนแอเกินไป แต่ก็มีการปรับปรุงทีละขั้นตอนและอาศัยความแข็งแกร่งของตัวเอง ลานศักดิ์สิทธิ์ซุ่วเย่วแข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง แต่มันเป็นความแข็งแกร่งที่มาจากนิกายอื่นๆ มันไม่ใช่วิธีการที่ดีนัก


เมื่อคนอื่นๆได้ยินหลงติ่งกล่าว เขาก็หยุดพูดทันที


ในขณะนั้นฝูงชนมองไปที่เวทีประลอง เฮยหม่า ยังคงนั่งอยู่บนนั้นและยังคงนิ่งเงียบและไร้อารมณ์ มีเพียงคนเดียวที่ยังมาไม่ถึง


นั้นคือ หลินเฟิง!


เวลาได้ผ่านไปและดวงอาทิตย์ค่อยๆร้อนขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้เองถึงเวลาเที่ยงแล้ว


สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ หลินเฟิง ยังไม่โผล่มา


หลงติงศิษย์ของท่านช่างกล้าหาญจริงๆถึงกับทำให้คนจำนวนมากรอเช่นนี้  ชายในเสื้อคลุมสีม่วงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เขาเริ่มใจร้อนขึ้น ทำไมเขาถึงทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องรอเช่นนี้?


การต่อสู้ของ หลินเฟิง และเฮยหม่า จะสู้กันในวันนี้ แต่พวกเขาไม่ได้ตกลงเรื่องเวลาที่แน่นอนกัน  หลงติง กล่าวอย่างไม่แยแส


หืม วันนี้งั้นรึ? หลายคนที่มาในวันนี้มาเพื่อดูการต่อสู้ แม้แต่ผู้คนในสถาบันสำนักสวรรค์ยังมาเพื่อดูการต่อสู้ แต่เขายังไม่มา นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่?

ท่านคงคิดว่าข้ารู้งั้นรึ? เมื่อ หลินเฟิง มาถึงท่านก็ไปถามเขาด้วยตัวเองแล้วกัน  หลงติง กล่าวอย่างไม่เป็นมิตรเหมือนก่อนหน้านี้


ชายในเสื้อคลุมสีม่วงไม่ใช่คนเดียวที่กำลังใจร้อน สมาชิกของสถาบันสำนักสวรรค์ก็เริ่มหมดความอดทน พวกเขาพูดคุยซุบซิบกันอย่างไม่หยุดหย่อน


หลินเฟิง เป็นคนที่อวดดีมันน่าแปลกใจที่เขายังไม่โผล่หัวออกมา


ฮ่าๆ บางทีเขายังต่อสู้ไม่ได้ เพราะเขายังไม่พร้อมที่จะต่อสู้ บางคนกล่าวขณะยิ้มอย่างไม่แยแส


“เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าเขาจะไม่มาต่อสู้ เฮยหม่า ก็ไม่น่าจะปล่อยเขาไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลินเฟิง ก็ไม่สามารถหลบซ่อนได้อีกต่อไป ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด


บางทีเขาอาจจะหนีไปแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้?


ผู้คนในฝูงชนต่างพยายามคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้นกับ หลินเฟิง ไม่ว่าพวกเขาจะคิดอย่างมีเหตุผลอย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาเลือกก็คือจะอยู่รอต่อหรือออกไปเท่านั้น


ส่วน เฮยหม่า ก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับว่าไม่มีอะไรสามารถรบกวนเขาได้


ดวงอาทิตย์ยามเย็นที่ลอยอยู่ในทางทิศตะวันตกค่อยๆตกอย่างช้าๆและส่องแสงลงมาบนเวทีประลอง ซึ่งยังคงมีเพียงคนเดียวที่อยู่บนนั้น


จะให้พวกข้ารอไปถึงเมื่อไหร่! เขาทำให้พวกเรารอทั้งวันแล้ว


ฝูงชนเริ่มหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้พวกเขาก็มั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า หลินเฟิง นั้นหวาดกลัวเลยไม่กล้ามา


หลงติง ท่านจะไม่ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยหรือ? ชายในเสื้อคลุมสีม่วงกล่าวอย่างเย็นชา หลินเฟิงทำให้พวกเขารอมาเกือบทั้งวันแล้ว


วันนี้ยังทันไม่หมดวันเลย  หลงติง กล่าวอย่างสงบ ขณะจ้องมองไปบนท้องฟ้า


ด้านสมาชิกของลานศักดิ์สิทธิ์ก็ดูหมดความอดทนแล้วเช่นกัน ศิษย์ธรรมดาๆจากสถาบันสำนักสวรรค์กล้าดียังไงถึงทำให้พวกเขาต้องรอนานเช่นนี้?


หลินเซียน เจ้าบอกว่า หลินเฟิง เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจ้าใช่ไหม?ชายหนุ่มรูปงามถาม หลินเซียน ที่อยู่ใจกลางฝูงชน


บางทีมันอาจจะไม่ใช่เขา หลินเซียน กล่าวขณะที่ขมวดคิ้ว ในวันนั้นที่ลานประลองนักโทษ หลินเฟิง สวมหน้ากากสีเงิน ดังนั้น หลินเซียน เลยสงสัยตั้งแต่นั้นมานางก็ได้ยินว่าชายผู้สวมหน้ากากก็คือ หลินเฟิง  นางเริ่มมึนงงเมื่อได้ยินข่าวนั้น ดังนั้นนางจึงมาที่สถาบันสำนักสวรรค์เพื่อมายืนยันด้วยตาตัวเอง


แม้ว่าจะใช่หรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่ใช่ปัญหา เขาเป็นเพียงเด็กน้อยที่อยู่ระดับจิตวิญญาณขั้นที่ 5 เท่านั้น ถ้าข้าต้องการให้เขาตาย เขาก็ตาย ถ้าข้าต้องการให้เขามีชีวิตอยู่ เขาก็จะมีชีวิตอยู่ ชายหนุ่มรูปงามกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและก้าวร้าว


หลินเซียน ยิ้มให้กับชายหนุ่มรูปงามและกล่าวว่า ขอบคุณ ฉู่จั่นเผิง


ชายหนุ่มคนนี้คือ ฉู่จั่นเผิง ซึ่งเป็นอัจฉริยะของนิกายเฮ่าเย่ว เขาเป็น 1 ใน 8 ปรมจารย์รุ่นเยาว์ของแคว้นซู่วเย่ว และเขาได้เข้าร่วมลานศักดิ์สิทธิ์ซู่วเย่ว


ในขณะนั้นเอง ฝูงชนเริ่มส่งเสียงดังขึ้น ฝูงชนย้ายไปอยู่ด้านข้างทำให้เกิดทางเดินขึ้น ที่ทางเดินนั้นได้ปรากฏเงาที่กำลังเดินมาอย่างช้าๆ


นั่นเป็น หลินเฟิง หลินเฟิง มาถึงแล้ว!


หลายคนประหลาดใจ พวกเขาเริ่มคิดจริงๆแล้วว่า หลินเฟิง คงไม่กล้ามา พวกเขาไม่คิดว่า หลินเฟิง จะมาช้าขนาดนี้


ในขณะนั้นเอง หลินเฟิง กำลังสวมเสื้อคลุมสีขาว เขามีดาบอยู่ที่หลังของเขา เขาดูสะอาดสะอ้านและดูสงบ ทุกย่างก้าวของเขาเต็มไปด้วยความหนักแน่น ถ้าใครสังเกตุการก้าวเดินของเขาจะเห็นได้ชัดว่าก้าวเดินแต่ละก้าวของเขามีระยะห่างที่เท่ากัน


บนที่นั่งคนดูที่สูง 5 เมตรทุกคนสามารถเห็นร่างเงาของ หลินเฟิง ได้อย่างชัดเจน


พวกเขาสามารถมองเห็นใบหน้าที่หล่อเหลา สะอาดสะอ้านและคุ้นเคยได้ หัวใจของ หลินเซียน กำลังเต้นเร็วขึ้น นางสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อนางจ้องมองไปที่ชายผู้นี้


หลินเฟิง อย่างที่คิด มันเป็น หลินเฟิง จริงๆ นั่นเป็นเขาจริงๆ


หลินเฟิง ที่เคยเป็นขยะในอดีต อย่างไรก็ตามในขณะนี้เขามีชื่อเสียงมากมาย หลายคนมาที่นี่เพื่อดูการต่อสู้ของเขา ลานศักดิ์สิทธิ์ซุ่วเย่ว, ตระกูลเนี้ย และแม้แต่ตระกูลหยู ยังมาเพื่อดูการต่อสู้ของเขา


หลินเซียนเป็นคนประเภทที่ใช้ชื่อเสียงเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้ในตระกูลหลิน ทุกคนให้ความสำคัญกับนางมากจนทำให้ หลินเฟิง และพ่อของเขาออกจากตระกูลหลิน แม้ว่านางจะไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก แต่นางก็กลายเป็นศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์ แต่ หลินเฟิง สามารถเอาชนะผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ระดับจิตวิญญาณขั้นที่ 6 ได้ ไม่เหมือนกับนางที่เพิ่งตัดผ่านระดับจิตวิญญาณขั้นที่ 3 และรู้สึกภาคภูมิใจกับตัวเองอย่างมากที่ทำเช่นนั้นได้


ดวงตาของ หลินเซียน เผยให้เห็นอารมณ์ที่ซับซ้อน มันมีทั้งความอิจฉา,ริษยาและความเยือกเย็น นางต้องการฆ่า หลินเฟิง นางไม่สามารถปล่อยให้เขากลับไปที่เมืองหยางโจวได้


มิฉะนั้น ในอนาคตนางจะไม่ได้เป็นประมุขตระกูลหลิน แต่จะกลายเป็นหลินเฟิงแทน


เฮยหม่า ลืมตาขึ้น เมื่อเขารู้สึกได้ว่ากำลังมีใครบางคนมา พลังปราณที่หนาวเย็นและพลังอำนาจได้ออกมาจากร่างกายของเขา และเขาเริ่มจ้องมองไปที่ หลินเฟิง


หลินเฟิง กำลังมองไปที่ เฮยหม่า ด้วยสายตาที่เย็นชา เขากำลังเดินตรงไปที่เวทีประลอง และมีพลังปราณที่หนาวเย็นและแรงกดดันทับร่างกายของเขา ถึงแม้ว่า เฮยหม่า จะอยู่ไกลจากเขา แต่หลินเฟิง สามารถรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่มาจากร่างกายของเขา


หลังจากที่ หลินเฟิง ได้ปลดปล่อยพลังปราณและพลังอำนาจออกมาจากร่างกาย  มันแหลมคมอย่างมาก พลังปราณและพลังอำนาจของเขากำลังพุ่งเข้าไปหา เฮยหม่า แม้ว่า หลินเฟิง จะยังอยู่ห่างจาก เฮยหม่า แต่ เฮยหม่า ก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังอันแหลมคมที่เจาะเข้าไปในผิวหนังของเขาได้ แม้ว่า หลินเฟิง จะยังมาไม่ถึงเวทีประลอง แต่พวกเขาก็เริ่มการต่อสู้กันแล้วด้วยพลังปราณ....



Cr.tuiimyk  แปลเล่นๆครับ ไม่อยากรอนานๆ ถ้าตกหล่นแปลผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ มือใหม่ครับ
อ่าน Eng ได้ที่ http://totallyinsanetranlation.com/peerless-martial-god-index/
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รบกวนกดโฆษณาเพื่อเป็นกำลังให้แก่ผู้แปลด้วยนะครับ

ความคิดเห็น

Facebook