ตอนที่ 106 ความขัดแย้งของตระกูลต้วน
ถ้า หลินไห่ มีรอยประทับตราของประตูปิดผนึกระหว่างคิ้วของเขานั่นหมายความว่าพ่อของ
หลินเฟิง ได้มีความขัดแย้งกับสมาชิกของตระกูลต้วน
ก่อนที่จะออกจากเมืองหยางโจว หลินไห่ ได้บอก หลินเฟิง ว่าเขาจะไปที่........เมืองจักรพรรดิ
ความทรงจำของ หลินเฟิง สับสนวุ่นวายเล็กน้อย แต่เขาจำได้ว่าพ่อของเขาเกลียดสมาชิก
ตระกูลด้วนและในทางกลับกัน พ่อของ หลินเฟิง อาจไม่ได้เดินทางไปที่เมืองจักรพรรดิเพื่อ
พักผ่อนหรือเพื่อพักผ่อนช่วงสั้น ๆ มีแนวโน้มว่าเขากำลังจะยุติความขัดแย้งนั่น
"ท่านไม่น่าวิ่งเข้าไปในความอันตรายเช่นนี้เลยท่านพ่อทำไมกัน? ตอนนี้ ข้าได้มายังเมือง
จักรพรรดิแล้วและข้าจะพบท่านอย่างแน่นอน "หลินเฟิงไม่รู้ว่าทำไมพ่อของเขาถึงต้องไปมี
ปัญหากับตระกูลต้วน เขายังไม่รู้ด้วยว่าทำไมมีความตึงเครียดระหว่างพวกเขากับพ่อของเขา
ถ้าเขาพบพ่อเขาจะพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตระหว่างเขากับตระกูลด้วน
หลินเฟิงจำได้ว่าพ่อของเขาไม่เคยบอกเขาเกี่ยวกับแม่ หลินเฟิง ได้พบว่ามันแปลกมาก
"หลินเฟิง" เมิ้งชิง กำลังมองไปที่ หลินเฟิง และคิดว่าเขาทำหน้าแปลก ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้เธอเรียก
เขา หลินเฟิง เสียสติไปชั่วขณะ แต่ในขณะนั้นก็กลับมามีสติอีกครั้ง ความคิดของ หลินเฟิง
ถูกปลุกเร้าเพราะมีคำถามมากมายและความเป็นไปได้อีกหลายๆอย่าง หลินเฟิง ถูกทำให้ตกใจ
โดย เมิ้งชิง และกล่าวว่า "ข้าสบายดี ต้วนเฟิง เมื่อไหร่เราจะถึงเมืองจักรพรรดิ?
"ถ้าเรายังคงเดินทางด้วยความเร็วเช่นนี้และไม่มีปัญหาบนท้องถนนก็น่าจะใช้เวลาอีกห้าหรือ
หกวันเป็นอย่างน้อย"
"ข้าจะขับรถต่อเองเพื่อให้ จิ้งหยุน ได้พักผ่อนบ้าง เราจะทำเวลาได้เร็วกว่านี้ "หลินเฟิง กล่าว
ถึงแม้ว่า ต้วนเฟิง ไม่ทราบว่า หลินเฟิง จริงๆแล้วคิดอะไรอยู่ แต่เขาก็ยังพยักหน้า เขาสงสัยว่า
ทำไม หลินเฟิง ถึงได้ทำตัวแปลกๆหลังจากที่เขาได้เห็นประตูปิดผนึกของตัวเอง
แต่ หลินเฟิง ไม่ได้บอก ต้วนเฟิง ว่ามีความคิดอะไรกำลังแล่นในหัวของเขา ต้วนเฟิง จะไม่ถามมัน
ต้วนเฟิง มีความเป็นไปได้ใช่ไหมแม้ว่าจะมีความเร็วเต็มที่ในขณะที่เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
พวกเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าหรือหกวันถึงจะถึงเมืองจักรพรรดิ
เนื่องจากพวกเขาได้เดินทางไปยังเมืองจักรพรรดิโดยใช้อีกเส้นทางหนึ่งพวกเขาไม่ได้เจอกับผู้คน
ที่เข้ามาโจมตีพวกเขาแต่อย่างใด บางทีอาจเป็นเพราะไม่มีใครรู้ตำแหน่งของ ต้วนเฟิง ได้อีกต่อไป
เนื่องจากพวกเขาได้จัดการเอาพวกสอดแนมออกไป
เมืองจักรพรรดินั้นกว้างใหญ่ แต่ถนนที่นำไปสู่เมืองนั้นไม่ได้มีมากมายนัก อันที่จริงแล้วเมืองทั้งเมือง
ถูกล้อมรอบไปด้วยอุปสรรคขนาดใหญ่และมีเพียงประตูเดียวที่เข้าไปได้
ประตูขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่าน มันทำจากวัสดุล้ำค่าอย่างไม่น่าเชื่อ ประตูมีความกว้างและความสูง
หลายร้อยเมตร ที่ด้านบนของประตูมียามหลายคนที่ถือหอกอยู่
เมืองจักรพรรดิล้อมรอบด้วยคูน้ำขนาดใหญ่และประตูเดียวที่สามารถเข้าถึงได้เฉพาะหลังจากที่ข้าม
สะพานหินขนาดใหญ่ไปแล้วเท่านั้น นี่เป็นวิธีเดียวในการเข้าถึงเมือง
อย่างไรก็ตามประตูทางเข้าของเมืองจักรพรรดิ ปิดเพื่อความปลอดภัย จะเปิดเฉพาะในระหว่างวัน
เพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
คนเดินเท้าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เพราะนอกเมืองจักรพรรดิมีอีกเมืองหนึ่งที่ไม่ใหญ่เท่า แต่ยังคงมีผู้คน
นับล้าน มันมีชื่อเสียงมาก
ในขณะนั้นรถม้าได้มาถึงยังนอกเมืองจักรพรรดิ หลินเฟิง เป็นคนขับรถม้าคันนี้ พวกเขาได้มาถึง
ตรงตามกำหนดเมืองจักรพรรดิอยู่ถัดไป มีร้านอาหารและร้านค้าจำนวนมากมาย เมืองนี้มีชีวิตชีวา
อย่างเหลือเชื่อ หลินเฟิง คิดว่าบรรยากาศดีกว่าในเมืองหยางโจวเสียอีก
"มีผู้คนมากมายเลย!" เมิ้งชิง กล่าวขณะที่เปิดม่านด้านในรถม้าออกและมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง!
"เรายังไม่ได้อยู่ในเมืองจักรพรรดิ นี่คือด้านนอก แต่เรายังคงอยู่ใกล้กับเมืองจักรพรรดิอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นจึงมีผู้คนจำนวนมาก "หลินเฟิง กล่าวขณะที่หัวเราะจากข้างนอกรถม้า หลินเฟิง เชื่อว่าใน
ขณะนี้มีผู้คนจำนวนมากในภูมิภาคนี้เนื่องจากหลายคนหวังว่าจะได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึง
ในผู้บ่มเพาะพลังที่ลานศักดิ์สิทธิ์ซู่วเย่ว
สำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในแคว้นซู่วเย่วยนี้ การสร้างลานศักดิ์สิทธิ์นั้นพิเศษมากในประวัติศาสตร์
ของแคว้น มันกำลังจะเปลี่ยนชีวิตและโชคชะตาของคนหลายพันคน
ในขณะนั้นไม่มีใครให้ความสนใจกับรถม้าของพวกเขา ทุกคนยังเป็นวัยหนุ่มสาวและหวังว่าจะ
มีความหวังที่จะมีส่วนร่วมในการเริ่มพิธีลานศักดิ์สิทธิ์ของและเป็นที่ยอมรับเพื่อได้ฝึกฝนที่นั่น
"เมิ้งชิง เจ้าต้องเหนื่อยหน่อยนะเพราะเป็นการเดินทางยังอีกยาวนานนัก พิจารณาจากประตู
ที่ยังไม่เปิด มันเป็นการดีที่สุดที่จะพักและกินอะไรรอไปก่อน. "
หลินเฟิง ได้หยุดใกล้กับร้านอาหาร ต้วนเฟิง และ จิ้งหยุน ออกจากรถม้าเช่นกัน ทั้งสี่คนเข้า
ไปในร้านอาหาร ตรงกลางร้านมีต้นไม้ขนาดใหญ่และต้นนั้นเติบโตขึ้นผ่านเหนือหลังคาร้าน
อาหาร มีช่องว่างอยู่ตรงกลางของร้านอาหารเพื่อให้คุณสามารถมองเห็นชั้นแรกได้ มันเต็มไป
ด้วยคนและมีหลายคนที่กำลังดื่มน้ำชาหรือไวน์
พวกเขารีบมุ่งหน้าไปที่บันไดไม้ทันทีและเดินไปที่ชั้นหนึ่ง เพราะร้านอาหารนั้นแออัดมาก สิ่งที่
หลินเฟิง แปลกใจคือแม้ว่าจะเป็นร้านอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่เงียบสงบอย่างมาก
มีคนจำนวนมาก แต่พวกเขาไม่ได้พูดเสียงดังจนคนอื่นได้ยิน จะได้ยินเพียงเสียงนักดนตรีที่
เล่นกู่ฉินในชั้นแรก
(琴 กู่ชิน เป็นเครื่องสายคล้ายกับ กู่เจิง 筝 เป็นเครื่องสายที่มี5-7เส้น กู่เจิ้งนั้นมี21สาย)
"เป็นร้านอาหารที่เงียบสงบอะไรเช่นนี้ ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงมีชื่อเสียงที่ดี "หลินเฟิง กระซิบ
ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นสถานที่ที่หรูหรา แต่ก็ยังดูสง่างามและประณีต การตกแต่งยัง
ทำให้ลูกค้าของเรามีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบในการลิ้มรสชาและไวน์ของพวกเขา
ในความเงียบสงบ แน่นอนบรรยากาศก็ช่างสมบูรณ์แบบ
"พี่ใหญ่หลินเฟิง มีโต๊ะว่างอยู่ตรงนั้น ช่างบังเอิญจริงๆ "
ต้วนเฟิง สังเกตเห็นโต๊ะใกล้หน้าต่าง ทั้งสี่คนไปและนั่งที่นั่น
“สวัสดีครับ รับอะไรดีครับนายท่าน?” เสี่ยวเอ้อถามทั้งสี่คนในขณะที่ยิ้มอย่างเป็นมิตร
"เราขอ โหลไวน์ชั้นเยี่ยมขนาดใหญ่เช่นเดียวกับชาที่ดีที่สุดที่เจ้ามีและผักดอง"
หลินเฟิง สั่ง ตั้งแต่ที่ หลินเฟิง อยู่ในโลกนี้ เขาไม่ได้ลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มที่ดีจริงๆมาก่อน
ในขณะนั้นเขามีโอกาสได้ลิ้มลองมันแล้ว
"กรุณารอสักครู่ "เสี่ยวเอ้อกล่าวแล้วเดินจากไป
หลินเฟิง กำลังฟังบทสนทนาของคนอื่น แม้ว่าพวกเขาจะกระซิบคุยกันก็ตาม หลินเฟิง มีความ
แข็งแกร่งของระดับชั้นจิตวิญญาณ และความรับรู้ของเขาในการได้ยินจึงพัฒนามากขึ้นและ
โดยทั่วไปไม่มีใครจะเปิดเผยความลับในที่สาธารณะเช่น
ดูเหมือนทุกคนกำลังพูดถึงเรื่อง : ลานศักดิ์สิทธิ์ หลินเฟิงยังได้ยินว่าบางคนได้กล่าวถึง
องค์ชายหนึ่งและองค์ชายสอง
"พี่หาน ท่านบอกว่านิกายหยุนไห่ได้ถูกทำลายแล้ว? ใครจะได้ประโยชน์จากการทำลาย
นิกายหยุนไห่? "
ในขณะนั้นบทสนทนาดึงดูดความสนใจของ หลินเฟิง น่าแปลกที่มีบางคนที่กำลังพูดถึง
เกี่ยวกับนิกายหยุนไห่
"ดีที่นิกายหยุนไห่ และ เฮ่าเย่ว ไม่ได้ลงลอยกันเป็นเวลาหลายปีแล้ว การทำลายนิกายหยุนไห่
จึงเป็นเหตุผลที่ดีที่ต้องฉลองให้กับสมาชิกนิกายเฮ่าเย่ว หมู่บ้านภูเขาหิมะน้ำแข็ง ซึ่งศิษย์
ทุกคนมีจิตวิญญาณน้ำแข็งหรือจิตวิญญาณหิมะ รวมทั้งนิกายหวานโชว ซึ่งศิษย์ทุกคนมี
จิตวิญญาณสัตว์อสูร อาจได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกันเนื่องจากจะมีอิทธิพลมากขึ้นและ
เป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้นิกายเฮ่าเย่ว ต้องมีความสุขจริงๆเพราะตอนนี้พวกเขา
ถูกวางให้เป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้ว "
"ดีที่นิกายหยุนไห่ และ เฮ่าเย่ว ไม่ได้ลงลอยกันเป็นเวลาหลายปีแล้ว การทำลายนิกายหยุนไห่
จึงเป็นเหตุผลที่ดีที่ต้องฉลองให้กับสมาชิกนิกายเฮ่าเย่ว หมู่บ้านภูเขาหิมะน้ำแข็ง ซึ่งศิษย์
ทุกคนมีจิตวิญญาณน้ำแข็งหรือจิตวิญญาณหิมะ รวมทั้งนิกายหวานโชว ซึ่งศิษย์ทุกคนมี
จิตวิญญาณสัตว์อสูร อาจได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกันเนื่องจากจะมีอิทธิพลมากขึ้นและ
เป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้นิกายเฮ่าเย่ว ต้องมีความสุขจริงๆเพราะตอนนี้พวกเขา
ถูกวางให้เป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้ว "
"เฮ้ พี่หาน ท่านพูดถูกดังนั้น ต้วนเทียนหลาง จึงไปทำลายนิกายหยุนไห่ด้วยตัวเอง...
นั่นคือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อปฏิเสธที่จะส่งลูกศิษย์ที่โดดเด่นมายังลานศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับ
บรรดานิกายอื่นๆ ต้วนเทียนหลางนั้น มีพลังอย่างมาก "
คนเหล่านี้น้ำเสียงดูหยิ่งและอวดดี พวกเขาดูเหมือนจะมีความสุขและตื่นเต้นกับข่าว
การทำลายนิกายหยุนไห่ พวกเขาพูดกันดังมาก
ในขณะนั้นหลายคนก็หยุดพูดและเริ่มจ้องมองสบตากัน คนสองคนหัวเราะดังขณะพูด
แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าเกือบทุกคนกำลังจ้องมองพวกเขาพวกเขาก็หยุดและยิ้ม
"ไร้สาระ" เสียงดังไปทั่วร้านอาหาร ทันใดนั้นทุกคนก็หันกลับไปและจ้องมองคนที่เดินไปที่บันได
ภาพสามร่างได้ปรากฏขึ้น หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงเธอสวยมากและสวมเสื้อผ้าที่หรูหรามาก
เธอยังมีอัญมณีมากมายที่ทำจากหินล้ำค้าทั่วร่างกายของเธอเป็นระยิบระยับ เธอถือไม้เท้าเหล็ก
สีดำอ่อนอยู่ในมือของเธอและเธอก็ดูโดดเดี่ยวมาก
เบื้องหลังเธอคือชายสองคนที่ดูสงบนิ่ง
"เจ้าเป็นเพียงหนูที่มองเห็นเพียงนิ้วเดียว ... แต่ก็ยังคิดว่ามันสามารถรับรู้ทั้งในอดีตและอนาคตได้
ช่างไร้สาระเสียจริง "
ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเสียงดังมาก เธอตะโกนว่า : "คนหนุ่มสาวไม่เข้า
ใจอะไรเลยและไม่เคยรู้มาก่อนว่าควรจะพูดอะไร แล้วพวกเขาก็ไม่เคยต้องการที่จะรับผลของ
การกระทำของตัวเองและไม่ต้องการที่จะถูกลงโทษสำหรับความผิดพลาดของพวกเขา. "
"ตบหน้าตัวมันซะ." หญิงคนนั้นกล่าว ทันทีภาพลวงตาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเธอและตบ
เจ้าของเสียงที่เพิ่งโต้แย้งเธอ เลือดไหลออกจากปากของพวกเขา
"เขาทำลายล้างนิกายหยุนไห่ เพียงอย่างเดียวนั่นแหละ นิกายใหญ่ได้เอาเทคนิคที่นิกายหยุนไห่
ไปใช้ ไม่เพียงเท่านั้น แต่ช่วยให้ผู้คนมากมายได้รับทักษะและเทคนิคที่ยอดเยี่ยม และยังช่วยให้
นิกายอื่นได้รับอิทธิพลมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคนที่นิกายหยุนไห่ ไม่ได้มี
อำนาจมากเกินไปในแคว้น ผู้ที่ได้รับเลือกให้ไปที่ลานศักดิ์สิทธิ์จะสามารถใช้ทักษะและเทคนิค
บางอย่างที่พวกเขาได้นำมาจากนิกายหยุนไห่ นอกจากนี้ยังมีศิษย์บางึนนิกายที่ได้ทรยศและ
ยังสามารถใช้ทักษะและเทคนิคเหล่านี้ได้ ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับนิกายหยุนไห่อีกต่อไป "
ผู้หญิงคนนั้นกำลังมองไปที่คนอื่นๆ ชายคนนี้ดูไม่ไม่สู้ดีนัก แต่เขายังคงฟังผู้หญิงคนนี้และ
ไม่กล้าขัดขวางหรือปฏิเสธคำพูดของเธอ ดังนั้นเขาทำเพียงพยักหน้าอย่างชาญฉลาด
"นิกายส่วนใหญ่ยอมรับที่จะส่งลูกศิษย์ของพวกเขาบางส่วนไปยังลานศักดิ์สิทธิ์ของซู่วเย่ว
ไม่ใช่เพราะพวกเขามีความสุขกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ แต่พวกเขากลัวผลที่จะเกิดขึ้น
พวกเขากลัวที่จะจบลงเหมือนกับนิกายหยุนไห่และหายไปจากแผนที่ของแคว้น พวกเขาทุกคน
เข้าใจว่าไม่มีทางออก นั่นคือเหตุผลที่พวกเขายอมรับที่จะช่วยและทำลายนิกายหยุนไห่
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง "
“แต่แม้ว่านิกายหยุนไห่จะถูกทำลายไปแล้วมันจะไม่นานก่อนที่นิกายอื่น ๆ ต้องผ่านสิ่งเดียวกัน
ในแคว้นซู่วเย่ว สามารถมีได้เฉพาะตระกูลจักรพรรดิเท่านั้น มีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับผู้อื่นโดย
เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามีอำนาจมากขึ้น ไม่ช้าก็เร็วกลุ่มคนสุดท้ายที่จะมีอำนาจในแคว้นซู่วเย่ว
จะเป็นตระกูลจักรพรรดิ "
หลินเฟิง ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดสิ่งเหล่านั้นและหัวเราะ สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงบางส่วน แต่ก็มี
ความไม่ยุติธรรมมากไป ดูเหมือนเธอเป็นลูกน้องของตระกูลจักรพรรดิ
"ตั้งแต่ตระกูลจักรพรรดิแข็งแกร่ง ทำไมพวกเขาต้องใช้วิธีการหลอกลวงดังกล่าวด้วย? เหตุใด
พวกเขาจึงจำเป็นต้องทำลายนิกายถ้าพวกเขามีพลังอำนาจมากมายอยู่แล้ว? "
เสียงกระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศ หลินเฟิง ประหลาดใจ คนที่ทำให้แปลกใจคือ จิ้งหยุน เธอเอา
คำออกมาจากใจและตัดสินใจแย้งผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆหันกลับมาและจ้องมองที่ จิ้งหยุน เธอยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า : "เจ้าพูดถูก
ทุกคนที่ขัดแย้งกับพวกเขาจะถูกทำลาย ... เหมือนสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ตอนนี้ ... "
เมื่อผู้หญิงคนนั้นพูดจบ เงาของไม้เท้าเหล็กสีดำอ่อน ๆ ปรากฏขึ้นและมุ่งตรงไปยังแก้มของ จิ้งหยุน
เมื่อ หลินเฟิง เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังโจมตี จิ้งหยุน ตาของเขาหลี่ลงและเขาจ้องที่ผู้หญิงคนนั้น
ด้วยความโมโห หลินเฟิง พูดไปที่หญิงคนนี้ว่า "เจ้าแค่พูดแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้าไม่ได้ทำเลยแม้แต่น้อย? "
"มีบางอย่างที่ไม่สามารถกล่าวได้ ถ้ามีคนพูดเช่นนั้นพวกเขาจะต้องชดใช้เพราะส่วนใหญ่แล้วคน
ที่พูดอย่างนั้นก็เป็นแค่ไอพวกไร้ค่า "
ผู้หญิงคนนี้กำลังมองไปที่ หลินเฟิง อย่างเย็นชาและพูดต่อ: "เจ้า! เจ้าไม่มีสิทธ์ที่จะพูดเช่นนั้น "
จึงเป็นเหตุผลที่ดีที่ต้องฉลองให้กับสมาชิกนิกายเฮ่าเย่ว หมู่บ้านภูเขาหิมะน้ำแข็ง ซึ่งศิษย์
ทุกคนมีจิตวิญญาณน้ำแข็งหรือจิตวิญญาณหิมะ รวมทั้งนิกายหวานโชว ซึ่งศิษย์ทุกคนมี
จิตวิญญาณสัตว์อสูร อาจได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกันเนื่องจากจะมีอิทธิพลมากขึ้นและ
เป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้นิกายเฮ่าเย่ว ต้องมีความสุขจริงๆเพราะตอนนี้พวกเขา
ถูกวางให้เป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้ว "
"ดีที่นิกายหยุนไห่ และ เฮ่าเย่ว ไม่ได้ลงลอยกันเป็นเวลาหลายปีแล้ว การทำลายนิกายหยุนไห่
จึงเป็นเหตุผลที่ดีที่ต้องฉลองให้กับสมาชิกนิกายเฮ่าเย่ว หมู่บ้านภูเขาหิมะน้ำแข็ง ซึ่งศิษย์
ทุกคนมีจิตวิญญาณน้ำแข็งหรือจิตวิญญาณหิมะ รวมทั้งนิกายหวานโชว ซึ่งศิษย์ทุกคนมี
จิตวิญญาณสัตว์อสูร อาจได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกันเนื่องจากจะมีอิทธิพลมากขึ้นและ
เป็นที่สนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้นิกายเฮ่าเย่ว ต้องมีความสุขจริงๆเพราะตอนนี้พวกเขา
ถูกวางให้เป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดไปแล้ว "
"เฮ้ พี่หาน ท่านพูดถูกดังนั้น ต้วนเทียนหลาง จึงไปทำลายนิกายหยุนไห่ด้วยตัวเอง...
นั่นคือราคาที่ต้องจ่ายเมื่อปฏิเสธที่จะส่งลูกศิษย์ที่โดดเด่นมายังลานศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับ
บรรดานิกายอื่นๆ ต้วนเทียนหลางนั้น มีพลังอย่างมาก "
คนเหล่านี้น้ำเสียงดูหยิ่งและอวดดี พวกเขาดูเหมือนจะมีความสุขและตื่นเต้นกับข่าว
การทำลายนิกายหยุนไห่ พวกเขาพูดกันดังมาก
ในขณะนั้นหลายคนก็หยุดพูดและเริ่มจ้องมองสบตากัน คนสองคนหัวเราะดังขณะพูด
แต่เมื่อสังเกตเห็นว่าเกือบทุกคนกำลังจ้องมองพวกเขาพวกเขาก็หยุดและยิ้ม
"ไร้สาระ" เสียงดังไปทั่วร้านอาหาร ทันใดนั้นทุกคนก็หันกลับไปและจ้องมองคนที่เดินไปที่บันได
ภาพสามร่างได้ปรากฏขึ้น หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงเธอสวยมากและสวมเสื้อผ้าที่หรูหรามาก
เธอยังมีอัญมณีมากมายที่ทำจากหินล้ำค้าทั่วร่างกายของเธอเป็นระยิบระยับ เธอถือไม้เท้าเหล็ก
สีดำอ่อนอยู่ในมือของเธอและเธอก็ดูโดดเดี่ยวมาก
เบื้องหลังเธอคือชายสองคนที่ดูสงบนิ่ง
"เจ้าเป็นเพียงหนูที่มองเห็นเพียงนิ้วเดียว ... แต่ก็ยังคิดว่ามันสามารถรับรู้ทั้งในอดีตและอนาคตได้
ช่างไร้สาระเสียจริง "
ทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเสียงดังมาก เธอตะโกนว่า : "คนหนุ่มสาวไม่เข้า
ใจอะไรเลยและไม่เคยรู้มาก่อนว่าควรจะพูดอะไร แล้วพวกเขาก็ไม่เคยต้องการที่จะรับผลของ
การกระทำของตัวเองและไม่ต้องการที่จะถูกลงโทษสำหรับความผิดพลาดของพวกเขา. "
"ตบหน้าตัวมันซะ." หญิงคนนั้นกล่าว ทันทีภาพลวงตาปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเธอและตบ
เจ้าของเสียงที่เพิ่งโต้แย้งเธอ เลือดไหลออกจากปากของพวกเขา
"เขาทำลายล้างนิกายหยุนไห่ เพียงอย่างเดียวนั่นแหละ นิกายใหญ่ได้เอาเทคนิคที่นิกายหยุนไห่
ไปใช้ ไม่เพียงเท่านั้น แต่ช่วยให้ผู้คนมากมายได้รับทักษะและเทคนิคที่ยอดเยี่ยม และยังช่วยให้
นิกายอื่นได้รับอิทธิพลมากขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคนที่นิกายหยุนไห่ ไม่ได้มี
อำนาจมากเกินไปในแคว้น ผู้ที่ได้รับเลือกให้ไปที่ลานศักดิ์สิทธิ์จะสามารถใช้ทักษะและเทคนิค
บางอย่างที่พวกเขาได้นำมาจากนิกายหยุนไห่ นอกจากนี้ยังมีศิษย์บางึนนิกายที่ได้ทรยศและ
ยังสามารถใช้ทักษะและเทคนิคเหล่านี้ได้ ไม่มีใครสนใจเกี่ยวกับนิกายหยุนไห่อีกต่อไป "
ผู้หญิงคนนั้นกำลังมองไปที่คนอื่นๆ ชายคนนี้ดูไม่ไม่สู้ดีนัก แต่เขายังคงฟังผู้หญิงคนนี้และ
ไม่กล้าขัดขวางหรือปฏิเสธคำพูดของเธอ ดังนั้นเขาทำเพียงพยักหน้าอย่างชาญฉลาด
"นิกายส่วนใหญ่ยอมรับที่จะส่งลูกศิษย์ของพวกเขาบางส่วนไปยังลานศักดิ์สิทธิ์ของซู่วเย่ว
ไม่ใช่เพราะพวกเขามีความสุขกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ แต่พวกเขากลัวผลที่จะเกิดขึ้น
พวกเขากลัวที่จะจบลงเหมือนกับนิกายหยุนไห่และหายไปจากแผนที่ของแคว้น พวกเขาทุกคน
เข้าใจว่าไม่มีทางออก นั่นคือเหตุผลที่พวกเขายอมรับที่จะช่วยและทำลายนิกายหยุนไห่
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง "
“แต่แม้ว่านิกายหยุนไห่จะถูกทำลายไปแล้วมันจะไม่นานก่อนที่นิกายอื่น ๆ ต้องผ่านสิ่งเดียวกัน
ในแคว้นซู่วเย่ว สามารถมีได้เฉพาะตระกูลจักรพรรดิเท่านั้น มีพื้นที่ไม่เพียงพอสำหรับผู้อื่นโดย
เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขามีอำนาจมากขึ้น ไม่ช้าก็เร็วกลุ่มคนสุดท้ายที่จะมีอำนาจในแคว้นซู่วเย่ว
จะเป็นตระกูลจักรพรรดิ "
หลินเฟิง ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดสิ่งเหล่านั้นและหัวเราะ สิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงบางส่วน แต่ก็มี
ความไม่ยุติธรรมมากไป ดูเหมือนเธอเป็นลูกน้องของตระกูลจักรพรรดิ
"ตั้งแต่ตระกูลจักรพรรดิแข็งแกร่ง ทำไมพวกเขาต้องใช้วิธีการหลอกลวงดังกล่าวด้วย? เหตุใด
พวกเขาจึงจำเป็นต้องทำลายนิกายถ้าพวกเขามีพลังอำนาจมากมายอยู่แล้ว? "
เสียงกระจายอยู่ในชั้นบรรยากาศ หลินเฟิง ประหลาดใจ คนที่ทำให้แปลกใจคือ จิ้งหยุน เธอเอา
คำออกมาจากใจและตัดสินใจแย้งผู้หญิงคนนี้
ผู้หญิงคนนั้นค่อยๆหันกลับมาและจ้องมองที่ จิ้งหยุน เธอยิ้มอย่างเย็นชาและพูดว่า : "เจ้าพูดถูก
ทุกคนที่ขัดแย้งกับพวกเขาจะถูกทำลาย ... เหมือนสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ตอนนี้ ... "
เมื่อผู้หญิงคนนั้นพูดจบ เงาของไม้เท้าเหล็กสีดำอ่อน ๆ ปรากฏขึ้นและมุ่งตรงไปยังแก้มของ จิ้งหยุน
เมื่อ หลินเฟิง เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังโจมตี จิ้งหยุน ตาของเขาหลี่ลงและเขาจ้องที่ผู้หญิงคนนั้น
ด้วยความโมโห หลินเฟิง พูดไปที่หญิงคนนี้ว่า "เจ้าแค่พูดแบบสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้าไม่ได้ทำเลยแม้แต่น้อย? "
"มีบางอย่างที่ไม่สามารถกล่าวได้ ถ้ามีคนพูดเช่นนั้นพวกเขาจะต้องชดใช้เพราะส่วนใหญ่แล้วคน
ที่พูดอย่างนั้นก็เป็นแค่ไอพวกไร้ค่า "
ผู้หญิงคนนี้กำลังมองไปที่ หลินเฟิง อย่างเย็นชาและพูดต่อ: "เจ้า! เจ้าไม่มีสิทธ์ที่จะพูดเช่นนั้น "
Cr.tuiimyk แปลเล่นๆครับ ไม่อยากรอนานๆ ถ้าตกหล่นแปลผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ มือใหม่ครับ
อ่าน Eng ได้ที่ http://totallyinsanetranlation.com/peerless-martial-god-index/
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รบกวนกดโฆษณาเพื่อเป็นกำลังให้แก่ผู้แปลด้วยนะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น