ตอนที่ 71 ท่าทีที่แปลกไปของหลิวเฟย
ตระกูลจักรพรรดิเป็นตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดดำรงอยู่ในแคว้นชู่วเย่ว พวกเขามีพลัง
มากมายจนไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายอำนาจของพวกเขา
นอกเหนือจากตระกูลจักรพรรดิยังมีบางตระกูลที่ทรงพลังในเมืองจักรพรรดิ มีตระกูล
เย่ว ของเมืองจักรพรรดิ, ตระกูลหยู และตระกูล ตระกูลหวานโช่วเหมิน
นอกเมืองจักรพรรดิยังมีนิกายที่แข็งแกร่งมากซึ่งถือครองอำนาจการต่อรอง นั้นคือ
นิกายหยุนไห่ และ นิกายเฮ่าเย่ว เป็นนิกายที่แข็งแกร่งซึ่งอยู่นอกเขตแดนของเมือง
จักรพรรดิ นอกจากนี้นอกเขตพรมแดนคือ ตระกูลหลัวเซีย และหมู่บ้านหุบเขาหิมะ
น้ำแข็ง
มีแปดผู้มีอำนาจระดับสูงของแคว้นชู่วเย่ว ที่เป็นตัวแทนของผู้บ่มเพาะพลังที่มีพร-
สวรรค์และมีความแข็งแกร่งมากที่สุดในแคว้น ทุกคนที่อยู่ในแปดคนนี้มีความแข็งแกร่ง
อย่างเหลือเชื่อและมีการบ่มเพาะพลังในระดับสูง อนาคตของแคว้นอยู่ในมือของเหล่า
แปดผู้บ่มเพาะพลังรุ่นเยาว์ นิกายหยุนไห่ มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครที่มีคุณสมบัติ
เหมาะสมในการเป็นหนึ่งในแปดผู้มีอำนาจสูงสุด
แม้ว่าผู้มีอำนาจระดับสูงจะมีอำนาจมากและมีสถานะที่สูงส่ง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสร้างผล
กระทบรากฐานของนิกาย อย่างไรก็ตามในสิบหรือยี่สิบปีข้างหน้านี้อาจจะไม่เป็นเช่นนั้น
รากฐานที่แข็งแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถสั่นคลอนได้เช่นกัน
หนานกงหลิง เข้าใจอย่างชัดเจนว่าควรทำอย่างไรกับเกมการเมืองของแคว้น แม้ว่าจะไม่
มีร่องรอยของนิกายที่มีอำนาจที่ลดลงในตอนนี้ แต่สิ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าละ?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่มีผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่จะใช้สถานที่ของประมุข? จะเกิดอะไรขึ้นถ้า
พลังอำนาจของศิษย์ในนิกายลดลง? หากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาที่ยาว
นานการล่มสลายของนิกายก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ผลกระทบจะไม่แสดงในระยะสั้น
แต่ในระยะยาวก็จะเห็นได้ชัดว่านิกายจะค่อยๆเลือนหายไปจากตามการเวลา
นี่คือกรณีของนิกายหยุนไห่ในตอนนี้ ระดับพลังของศิษย์รุ่นเยาว์ของนิกายหยุนไห่ เริ่ม
ลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่สามารถทำให้ผู้ที่มี
พรสวรรค์เข้าร่วมกับนิกายได้มากพอ หนานกงหลิง จะทำย่างไรต่อไปในเมื่อไม่อาจลด
ความกังวลในสถานการณ์เช่นนี้ได้? นี่เป็นสิ่งที่ทำให้เขาทุกข์ใจในทุกๆวินาทีตลอดมา
เป็นความจริงที่ว่า หลินเฟิง และ หานหมาน ยืนอยู่ข้างหน้าเขาและปลดปล่อยความ
สามารถที่น่าอัศจรรย์ ทำให้เขากลับมามีความหวังอีกครั้ง เขารู้สึกว่าชะตากรรมของ
นิกายหยุนไห่ได้เปลี่ยนไปและอาจมีอนาคตที่รุ่งโรจน์รออยู่
หลินเฟิง มีพลังการต่อสู้ที่น่าทึ่งและพรสวรรค์ที่แท้จริงนั้นลึกล้ำเกินกว่าจะหยั่งถึง เขา
เป็นอัจฉริยะ ด้วยเวลาและความทุ่มเทในการฝึกฝนเขาอาจจะกลายเป็นหนึ่งในแปด
ผู้มีอำนาจระดับสูง นี่จะเป็นการสร้างอนาคตอันสดใสใหม่ สำหรับนิกายหยุนไห่โดย
พวกเขาจะกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
นิกายหยุนไห่กำลังผ่านเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความมั่งคั่งในช่วงเวลาที่สงบสุขเหล่านี้ แต่
ถ้าความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้วพวกเขาก็จะอยู่ในสถานะที่อันตรายมาก นิกายกำลังอยู่
ในช่วงที่ความแข็งแกร่งทดถอยลงและความแข็งแกร่งในตอนนี้เทียบไม่ได้กับรุ่นก่อนๆ
ในอดีต
"ข้าหวังว่าทั้งสองคนจะไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดภายในนิกายหยุนไห่" หนานกงหลิง คิด
ขณะที่กำลังมองไปที่ หานหมาน ในสนามการต่อสู้ ในเมืองจักรพรรดิการก่อสร้าง
ลานศักดิ์สิทธิ์ชู่วเย่ว ได้เริ่มขึ้นแล้ว
“ตู้ม!”
หานหมานก้าวไปอีกก้าว ในลานประลองแห่งชีวิต มีคลื่นที่มีทรายสีเหลืองล้อมรอบและ
ปกคลุม หัวังฮั่น เขากำลังดิ้นรนเพื่อหายใจภายใต้ความกดดันอันมหาศาลดังกล่าว
ปราณที่ได้รับการปลดปล่อยออกมามีพลังมากจน หวังฮั่น รู้สึกราวกับว่าเขาถูกฝังทั้ง
เป็นทั้งๆที่เขายืนอยู่
"เจ้าชนะ. ขอแสดงความยินดีกับการเป็นส่วนหนึ่งของศิษย์ภายใน "หวังฮั่น กล่าว
หวังฮั่น สามารถหายใจได้อีกครั้ง ร่างกายของเขารู้สึกเบาขึ้นและแรงกดดันที่ฝังตัวเขา
หายไปอย่างสมบูรณ์ ตาของเขาปิดลงข้างหนึ่งและเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวังใน
ตัวเองที่แข็งแกร่งไม่พอ เขาพ่ายแพ้ เขาได้รับความอับอายขายหน้า แต่เขาก็ได้รับ
บทเรียนอันล้ำค่าและคำขอบคุณจากการต่อสู้กับ หานหมาน
"ฮ่า ๆ พี่ชาย อย่าผิดหวังไปเลย ข้าใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณข้า "
หานหมาน กล่าวขณะที่ปราณรอบตัวเขาหายไปอย่างช้าๆ หานหมาน มองและพูดด้วย
น้ำเสียงที่จริงใจ เป็นการยากที่จะหาคนที่ต่อสู้กับเขาด้วยความแค้น เขาสามารถเป็น
มิตรได้กับทุกคนในทันที
"ขอบคุณ" หวังฮั่น กล่าวขณะพยักหน้า หานหมาน เขาหันกลับไปและออกจากสนาม
การต่อสู้ ผลสุดท้ายคือความพ่ายแพ้ของเขา นั่นเป็นความอัปยศของศิษย์ภายในและ
เขาก็ไม่อยากอยู่ให้เป็นจุดสนใจนานนัก
หานหมาน รีบวิ่งกลับไปที่ หลินเฟิง และในขณะที่กำลังมองด้วยความสุขอย่างเหลือเชื่อ
กับตัวเองเขากล่าวว่า "เป็นไงบ้างละ? ข้าได้รับความเคารพจากทุกคนใช่มั้ย? "
หลินเฟิง ยิ้มและพยักหน้ากล่าวว่า "ไม่เลวนี่" หานหมาน เข้าใจถึงพลังที่เขาสามารถควบ
คุมได้จากความช่วยเหลือของจิตวิญญาณเขา กับคนที่มีระดับเดียวกันเห็นได้ชัดว่า
หานหมาน มีข้อได้เปรียบในด้านพลังและความเข้าใจ คงเป็นเรื่องยากที่จะหาผู้บ่มเพาะพลัง
ในระดับเดียวกับเขาที่สามารถต่อสู้ได้อย่างเท่าเทียม เฉพาะผู้ที่มีพรสวรรค์ที่มากล้นถึงจะ
มีโอกาสที่จะเอาชนะเขาได้
หลินเฟิง และคนอื่น ๆ ที่อยู่ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนยังคงเฝ้าดูการต่อสู้อื่น ๆ มีโอกาส
ที่ผู้บ่มเพาะพลังได้รับประโยชน์จากการเฝ้าดูการต่อสู้ ไม่ได้มีโอกาสดีๆแบบนี้เสมอไปที่จะ
ได้ดูการต่อสู้จำนวนมากในครั้งเดียว
"ข้าอยากจะท้าทาย ถูฟู่ ในวันนี้ เขาแข็งแกร่งมาก ข้าหวังว่าด้วยพลังของตัวเอง ข้าจะเอา
ชนะเขาและได้เข้าร่วมเศิษย์หลักอันดับที่ดีได้ "
หานหมาน มีดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อจบรอบแรกและเขาไม่ใช่คนเดียวเท่านั้น
ยังมีศิษย์อีกหลายคนที่สุดยอดไม่แพ้กันในการต่อสู้ที่เขามีโอกาสได้เห็น การต่อสู้ของถูฟู่
ช่างน่าทึ่ง ถูฟู่ มีพลังมากพอตัวเขาใช้เพียงหมัดเดียวก็ทำให้ท้องฟ้าสั่นสะเทือนและการ
ต่อสู้ก็จบลง
"หลินเฟิง เจ้ามีใครที่อยากจะเอาชนะไหมในศิษย์หลักของนิกาย?" หานหมานกล่าว
"ข้ารึ?" หลินเฟิง ตอบด้วยความประหลาดใจ จากนั้นเขาก็ส่ายหัวในขณะที่ยิ้มและพูดว่า
: "ข้ายังไม่คิดไปไกลถึงขั้นนั้น"
หลินเฟิง ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ส่วนใหญ่ของศิษย์สามัญของนิกายหยุนไห่มีเพียงระดับ
ปราณเท่านั้น ถ้าพวกเขาต้องการที่จะเป็นสาวกที่เก่งที่สุดพวกเขาก็จะต้องผ่านชั้น
จิตวิญญาณเป็นอย่างน้อย
ชั้นจิตวิญญาณแรกเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับศิษย์ภายใน ศิษย์ภายในที่ตัดผ่านเข้าไป
ในชั้นจิตวิญญาณขั้นที่สามเป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ ผู้ที่ผ่านไปถึงจิตวิญญาณ
ขั้นที่สี่จะมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมทดสอบเป็นศิษย์หลักเป็นกรณีพิเศษ
อย่างไรก็ตามศิษย์หลักของระดับจิตวิญญาณขั้นที่สี่ถือว่าอ่อนแอกว่าศิษย์หลักคนอื่นๆ
บรรดาผู้ที่เข้าร่วมที่เป็นศิษย์หลักก็ต้องผ่านขั้นตอนเดียวกันคือการเอาชนะศิษย์หลักคน
ปัจจุบัน อย่างไรก็ตามมีใครบ้างที่เป็นศิษย์หลักละ? พวกเขาเป็นรากฐานของนิกายและ
การเอาชนะพวกเขา แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดนั้นไม่ใช่งานง่าย...
ทุกๆปี ศิษภายในหลายคนที่อยู่ระหว่างจิตวิญญาณขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่สี่ เฉพาะคนที่มี
พรสวรรค์ที่ดีเยี่ยมหรือความแข็งแกร่งในการต่อสู้เพียงพอถึงจะสามารถเข้าร่วมเป็นศิษ
หลักได้
หลินเฟิง มีจิตวิญญาณสามดวงต้องขอบคุณความทุกข์ยากทั้งหมดที่เขาได้ผ่านมา เขา
กำลังคิดถึงความแตกต่างระหว่างศิษย์ภายในกับศิษย์หลัก แม้ว่าเขาจะได้เป็นศิษหลัก
แล้วยังไงละ? ม่อเสีย ยังเป็นผู้อาวุโสและมีความได้เปรียบเหนือเขาอยู่
รอบแรกของการสอบศิษย์ภายในได้สิ้นสุดลงแล้วและมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
อย่างสนุกสนานภายในฝูงชน เป็นเรื่องยากที่ศิษย์หลายคนจะมีความตื่นเต้นในรอบที่
สองซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากนี้สามวัน
บรรดาศิษย์ภายในและศิษย์หลักจะใช้พลังทั้งหมดของตนในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นในรอบ
ที่สอง เนื่องจากจะตัดสินจากอันดับของพวกเขาภายในนิกายด้วย การถือครองอันดับ
สูงๆในหมู่ศิษย์ทั้งหลายนั้นถือว่าเป็นเกียรติสำหรับคนๆนั้น
หลินเฟิง ไม่อยากรอนานอีกต่อไป เขามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ของศิษย์ภายในทันที ตอนนี้
เขาเป็นศิษย์ภายใน เขาต้องการเสื้อคลุมตัวใหม่ของศิษย์ภายในเช่นเดียวกับได้ใบรับรอง
การเป็นส่วนหนึ่งของศิษย์ภายใน นี่เป็นสัญลักษณ์ของสถานะที่ศิษย์ยึดถือภายในนิกาย
"หลินเฟิง"
ในเวลานั้น หลินเฟิง ได้ยินเสียงมาจากด้านหลังทำให้เขาหยุดลง เขาหันกลับไปและเห็น
คนสวยคนหนึ่งได้วิ่งเข้ามาหาเขา
"นี่ข้าทำอะไรผิดรึ?" หลินเฟิง ถาม หลิวเฟย ที่เดินไปมาเขา เขารู้สึกประหลาดใจเล็ก
น้อยที่ได้เห็นเธอ
"ข้าสามารถพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?"
หลิวเฟย รู้สึกอายเมื่อมอง หานหมาน และคนอื่น ๆ
คุยแบบส่วนตัว ...
หลินเฟิง เกิดอาการสับสน สิ่งที่ หลิวเฟย บอกเขาว่าจำเป็นต้องพูดในที่ส่วนตัว?
แม้ว่าความคิดของ หลินเฟิง เกี่ยวกับ หลิวเฟย ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ที่
เธอพยายามปกป้องเขาจาก ม่อเสีย แต่ความคิดของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่
พวกเขาใกล้ชิดกันพอที่จะพูดคุยกันส่วนตัวได้แล้วรึไง?
"ฮ่า ๆ แน่นอนไม่มีปัญหา หลินเฟิง เรามีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการตอนนี้ พวกเรา
จะไปก่อนและคุณสามารถเข้าร่วมกับพวกเราได้ในภายหลัง "
หลินเฟิง ยังไม่ได้พูดอะไร แต่ หานหมาน ได้ตอบแทนเขาแล้ว เขารีบดึง ปู้จุนและ
จี้งหยุน ออกมาทั้งคู่ หลินเฟิง พูดไม่ออกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หานหมาน กลายเป็น
คนมีเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้?
พวกเขามีเรื่องสำคัญหรือไม่? เขาหมายถึงอะไร? จะได้รับใบรับรองศิษย์ภายในและ
ชุดใหม่ของนิกาย?
หลิวเฟย ยืนอยู่ข้าง หลินเฟิง แล้วและรู้สึกเขิลอาย เธอรีบกล่าวว่า "พวกเรา
ไปที่ไหนสักแห่งที่เป็นส่วนตัวแล้วเราค่อยคุยกัน"
หลินเฟิง พยักหน้าเล็กน้อย เขาอยากรู้จริงๆว่า หลิวเฟย ต้องบอกอะไรกับเขา
"หลินเฟิง เจ้าจำได้ที่ ที่เราพบกันเป็นครั้งแรกได้ไหม?"
"ข้าจำได้. เจ้าเกือบจะสังหารข้าอย่างไม่มีเหตุผลในวันนั้น "หลินเฟิง กล่าว
ความแข็งแกร่งของผู้หญิงคนนี้เป็นเรื่องเหลือเชื่อและมีบางอย่างที่ซ่อนอยู่
ภายในตัวเธอ อย่างไรก็จริงๆแล้วกำลังโกรธอยู่
"ถ้าเจ้าไม่ได้พยายามที่จะแอบมองข้าและทำสิ่งชั่วช้าข้าจะะฆ่าเจ้าทำไม?"
หลิวเฟย ที่กำลังอารมณ์ไม่ดีกล่าว
"ข้าไม่เคยแอบมองเจ้าหรือมีเจตนาที่ผิดเพี้ยนใดๆ " หลินเฟิง ที่กำลังโกรธ
มากขึ้นเรื่อยตอบ หลิวเฟย ในวันนั้นเมื่อเขาเดินเข้าไปในภูเขามันเป็นเรื่อง
บังเอิญ เจ้าบอกได้อย่างมั่นใจได้อย่างไรว่าข้าเป็นพวกถ้ำมอง?
"เจ้า ..... " หลิวเฟย เห็นว่า หลินเฟิง ไม่ยอมยอมรับมัน ช่างชั่วร้ายจริงๆ
หลินเฟิง คิดว่า หลิวเฟย เป็นคนสวยมากๆคนหนึ่ง แต่เขาไม่ได้รู้ว่าเธออยู่
ที่นั่นนั่นนี่เป็นความจริง เธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงที่สวยที่สุดในนิกายนี้ แต่ก็
เข้าใจดีว่าหลายคนคงอยากจะแอบดูเธอ
"เอาล่ะข้ายอมรับว่าข้าผิดข้าเข้าใจเจ้าผิด ข้าอยากจะขอโทษเจ้า "
หลิวเฟย กำลังกัดฟันและฝืนใจให้คำพูดออกมาจากปากของเธอ ถ้าไม่ได้
ทำเพื่อพ่อของเธอ เธอคงไม่มีทางมาหา หลินเฟิง เด็ดขาด
"อ่า ... " หลินเฟิง ไม่เข้าใจ หลิวเฟย เขาจ้องมองไปที่เธอขณะที่พยายาม
จะทำความเข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น
"เจ้ากำลังมองอะไร" หลิวเฟยถาม
หลินเฟิงยังคงจ้องที่เธอ เธออายและหน้าแดงขึ้นซึ่งทำให้ หลินเฟิง ประหลาดใจ
นี่มันอาจจะเป็น…
"นี่เจ้า...... ." หลินเฟิง มอง หลิวเฟย แปลกๆ เขากำลังจ้องมองลึกเข้าไปใน
ดวงตาที่สวยงามของเธอ
"นี่เจ้า...... ตกหลุมรักข้าเหรอ? "หลินเฟิง ได้ตัดสินใจที่จะพูดถึงสิ่งที่คิดไว้ในใจ
เขาไม่สามารถหยุดความคิดทั้งหมดที่วิ่งผ่านสมองเขาได้ หลิวเฟย เป็นคน
แปลกหน้าและทำตัวเหมือนผู้ชาย แต่เธอก็สวยและมีความสนใจ หลินเฟิง
หลินเฟิง ไม่เคยมีแฟนมาก่อนดังนั้นช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกเขิลอายอย่างมากกับ
สถานการณ์ปัจจุบันของเขา
หลิวเฟย ถึงกับมึนงง ในที่สุดเธอก็อารมณ์เสียและตะโกนว่า: "ไอเวรเอ้ยย!"
Cr.tuiimyk แปลเล่นๆครับ ไม่อยากรอนานๆ ถ้าตกหล่นแปลผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ มือใหม่ครับ
อ่าน Eng ได้ที่ http://totallyinsanetranlation.com/peerless-martial-god-index/
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รบกวนกดโฆษณาเพื่อนเป็นกำลังให้แก่ผู้แปลด้วยนะครับ
คลิก >> http://cpmlink.net/KuQOAA
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น