ตอนที่ 61 ปีศาจในจินตนาการ
"ข้าบอกให้ท่านเข้ามาไวๆและสังหารข้า แต่ท่านกลับนิ่งเฉยไม่กล้าเข้ามา ท่านเป็นผู้อาวุโสของนิกาย
ภาษาอะไร?" หลินเฟิง กล่าวพร้อมหัวเราะเยาะ แล้วเขาก็หันกลับไปตัดหัวงูหลามร้อยเล่ห์ด้วยดาบ
ดาบของหลินเฟิงทั้งเฉียบคมและแม่นยำ
หลินเฟิง มีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าซึ่งทำให้ เหอชุง ลังเลที่จะโจมตีมากขึ้นไปอีก เขาตื่นตระหนก
แล้วเชื่อคำพูดของหลินเฟิงและไม่ต้องการทำอะไรผลีผลามในตอนนี้ ม่อเสีย ไม่กล้าเสี่ยงชีวิตเข้าไป
ดังนั้นสองผู้อาวุโสยืนตัวแข็งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ครั้งสุดท้ายที่เขาทำกับ หลินเฟิง เงาที่
ชั่วร้ายนั้นได้ปกป้องเขาและทำให้ ม่อเสีย กลัวว่าจะถูกฆ่า แม้เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเงานั้นทำให้รู้สึก
หนาวสั่นไปยั้นกระดูกสันหลัง ความเจ็บปวดในคราวนั้นมันทำให้บาดลึกลงไปในจิตใจของ ม่อเสีย
ฝูงสัตว์อสูรได้ไหลทะลักมาหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีศิษย์จำนวนมากมาเข้าร่วมการ
ต่อสู้มากขึ้นเช่นกัน มีจำนวนหนึ่งดูโหดเหี้ยมกว่าคนอื่นๆ ได้วิ่งเข้ามาในฝูงสัตว์อสูรซึ่งอันที่จริงแล้ว
ให้ความรู้สึกว่าเหมือนพวกเขานั้นเป็นสัตว์อสูรที่กระหายเลือดเลยทีเดียว
หลิวเฟย มาถึงแล้ว เธอเห็นว่า หลินเฟิง อยู่ท่ามกลางเหล่าสัตว์ร้ายเหล่านี้และดูเหมือนว่าเขาจะฆ่า
พวกมันได้อย่างง่ายดาย ดาบของเขาอาบไปด้วยเลือดและมีเลือดไหลนองอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
หลินเฟิง ไม่ได้ใช้พลังสูงสุดดังนั้นจึงยากที่จะบอกได้ว่าเขาอยู่ที่ขั้นไหนของระดับจิตวิญญาณ
เขากำลังใช้พลังปราณของขั้นที่เก้าเพื่อฆ่าสัตว์อสูรที่เข้ามา อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของดาบ
หลินเฟิง นั้นไหลลื่น ทรงพลัง แม่นยำและรวดเร็ว เขาเป็นผู้ใช้ดาบที่เหนือกว่าทุกคนไปอีกขั้น
หลินเฟิง สามารถควบคุมการใช้ดาบของเขา ได้อย่างสมบูรณ์แบบและทุกการเคลื่อนไหวช่างสม
ดุลกันอย่างแท้จริง ทั้งความเร็ว ความแม่นยำ และความรุนแรง ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่า
พลังอนาจของหลินเฟิงนั้นมีมากแค่ไหน แต่พวกเขารู้ว่า หลินเฟิง นั้นแข็งแกร่ง
"แย่จริงๆผู้ชายคนนี้อีกแล้ว ... " หลิวเฟย ด่า หลินเฟิง ในความคิดของเธอ เธอเอาธนูและลูกธนู
จากด้านหลังและยิงออกไปทันที ลูกธนูเจาะผ่านกะโหลกสัตว์อสูรที่ หลินเฟิง กำลังจะฆ่า
หลินเฟิง หันกลับไปและเห็นสายตาที่เย็นชาของ หลิวเฟย กำลังจ้องมองเขา เขายิ้มให้ หลิวเฟย อย่าง
เป็นมิตรและไม่สนใจการฆ่าสัตว์อสูร เขาเชื่อว่าความบาดหมางของเขาทั้งสองได้หมดไปเรียบร้อยแล้ว
"เสียงคำรวม................" เสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวได้แผ่กระจายไปทุกทิศทางและสะท้อนผ่านอากาศ
พื้นดินเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง ทุกคนรู้สึกว่าพื้นดินกำลังยุบตัวลงใต้ฝ่าเท้า ใบหน้าของทุกคนก็กลาย
เป็นจริงจังมากกว่าก่อนหน้านี้
"สัตว์อสูรที่ทรงพลังกำลังจะมาถึง"
หลายคนเริ่มวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวสัตว์อสูรที่กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางของพวกเขา หมอกสีดำ
ได้ปกคลุมบรรยากาศจากระยะไกลและค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าสาวกที่เห็นหมอก
ที่กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าและทันใดนั้นต้นไม้ได้ฉีกออกเป็นชิ้น ๆ และปลิวลอยไป
"น่ากลัวมาก"
เหล่าสาวกทั้งหลายหนีกระเจิงย้อนกลับมา นี่มันพลังอะไรกันช่างมากมายมหาศาลยิ่งนัก อย่างน้อย
สัตว์สูตรนั้นต้องอยู่ที่ระดับจิตวิญญาณ ถ้าศิษย์สามัญคนไหนพยายามจะฆ่ามันแน่นอนว่าพวกเขา
จะต้องพบความตายอย่างแน่นอน
เมื่อ หลินเฟิง สังเกตุเห็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังดั่งกล่าวกำลังใกล้เข้ามา เขาเริ่มถอยออกมาเช่นกัน เขา
ไม่มั่นใจว่าเขาสามารถฆ่าสัตว์อสูรดังกล่าวได้อย่างง่ายดาย จนกระทั่งตอนนี้ เขาได้แต่ฆ่าพวกที่อยู่ใน
ระดับต่ำและไม่เคยต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับจิตวิญญาณมาก่อน
ขณะที่ หลินเฟิง ถอยออกมา พลังอำนาจได้กดดันเขาอย่างรวดเร็วปะทะเข้ากับร่างกาย พลังอำนาจ
ที่กดดันนี้ทำให้ร่างกายของเขาไม่สามารถขยับได้อย่างสมบูรณ์ และเริ่มที่จะผลักดันเขาไปข้างหน้า
และป้องกันไม่ให้เขาถอยกลับไป
"ไอเวรเอ้ย!" หลินเฟิง ตะโกนด้วยความโกรธมองไปที่ ม่อเสีย ที่อยู่ข้างหลังเขา เขาไม่จำเป็นต้องคิดว่า
ใครทำแบบนี้กับเขา เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโส ม่อเสีย สามารถทำแบบนั้นได้ ด้วยความแข็งแกร่งดังกล่าว
เขาไม่กล้าโจมตีแต่เขาขัดขวางไม่ให้หนีจากอันตราย
ม่อเสีย ทำเป็นไม่ได้ยินที่ หลินเฟิง ด่า เขายิ้มอย่างชั่วร้ายอย่างเห็นได้ชัด เขาได้รับความอัปยศโดยศิษย์
สามัญที่ไร้ค่ามาสองครั้งเขาเสียหน้าอย่างเป็นอย่างมาก แต่เขาก็เริ่มคิดถึงความไม่ชอบธรรมที่เงานั้น
จะสนับสนุน หลินเฟิง เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ครอบครอง จิตวิญญาณเงา นั้นจะอยู่กับ หลินเฟิง ตลอด?
นอกจากนี้เขายังมองไปรอบๆ อย่างรอบคอบและไม่เห็นเงาเลย เขาเลยตัดสินใจว่าถ้าเขาจะทำอะไร
ลงไปตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว
แน่นอนว่า ม่อเสีย ยังไม่มั่นใจเท่าที่ควรว่าเงานั้นไม่อยู่บริเวณนี้ ดังนั้นเขาจึงลองพยายามทำร้าย
หลินเฟิง โดยใช้วิธีสกปรกและเขาจะให้สัตว์อสูรที่กำลังอาละวาดนั้นสังหาร หลินเฟิง ให้เขาทางอ้อม
สัตว์อสูรที่ทรงพลังกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ๆและดูเหมือนว่าแผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกครั้งที่มันเคลื่อนที่
เหล่าสาวกมองเห็นหมอกสีดำเที่ปกคลุมบรรยากาศ รอบหมอกสีดำนั้นมีกลุ่มขนาดใหญ่ของสัตว์อสูร
ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ละตัวได้ปล่อยพลังปราณที่รุนแรงออกมาทำให้สาวกทั้งหลายที่เห็นหัวใจ
กระเด็นออกกองกับพื้น
"มันต้องตาย ม่อเสีย ตั้งใจปล่อยเขาไว้ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาเมาอย่างแน่นอน "
ทุกคนกำลังวิ่งกลับมาและเห็นว่า หลินเฟิง คนเดียวที่ไม่สามารถหนีออกมาได้ ม่อเสีย ยืนอยู่ห่างจาก
เหล่าสาวกและยืนอย่างมั่นคงข้างหลัง หลินเฟิง เหล่าสาวกได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะดูถูก หลินเฟิง เพราะความโง่เง่าของตัวเอง พวกเขาไม่เข้าใจว่าสถานการณ์นั้น
เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร อย่างไรก็ตามนี่เป็นผลจากการดูถูกผู้อาวุโสของนิกาย
"สัตว์อสูรนั้นมีพลังมหาศาล ถ้าเจ้าบังคับให้ข้าสู้กับมันข้าก็น่าจะตายในทันที "หลินเฟิง กล่าว ใครจะ
ไปยืนเฉยๆกันเล่าถูกกดดันอยู่แบบนี้และตะโกนด้วยความโกรธว่า ข้าอยากจะกลับไป แต่ ม่อเสีย ก็กันเขาไว้
ดูเหมือนว่าครั้งนี้ ผู้ที่มีจิตวิญญาณเงา จะไม่อยู่กับเขา "ม่อเสีย คิดอย่างชั่วร้าย จากนั้นเขาก็พูดเสียงดัง
ว่า " ละทิ้งคนอื่น ๆ ก่อนการต่อสู้ครั้งใหญ่ ศิษย์คนนี้ช่างเป็นความอัปยศของนิกายหยุนไห่เสียจริง"
เมื่อ ม่อเสีย พูดจบ เถาวัลจำนวนมากออกมาอย่างรวดเร็วจากร่างกายของเขาพุ่งไปที่ หลินเฟิง
ด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
ร่าง หลินเฟิง กำลังถูกไฟไหม้ภายใต้แรงกดดันของพลังอำนาจที่กดเขาอยู่และชั่วพริบตาจากนั้นเขาก็ถูกบีบลัดโดยเถาวัลซึ่งล้อมรอบร่างของเขา มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและดูเหมือนกับงู ในขณะนั้น หลินเฟิง ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
"จิตวิญญาณ ... มันคือจิตวิญญาณของเขา ม่อเสีย มีวิญญาณเถาวัลงู ! "
เหล่าสาวกกำลังตื่นตระหนกตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่า ม่อเสีย ตั้งใจที่จะตรวจสอบหลินเฟิง ให้แน่ใจว่าจะตกลงไปในกับดักมรณะและตายซะ ถ้าศิษย์สามัญคนใดกล้าเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสของนิกาย เขาก็สมควรตาย...
อย่างไรก็ตามมีบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว พวกเขาคิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะพยายามฆ่าศิษย์สามัญผู้หนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่พยายามฆ่าพวกเขาคือ ผู้อาวุโสที่มีอำนาจอย่างมากในนิกาย พวกเขาคิดว่ามันค่อนข้างไร้ยางอายสำหรับ ม่อเสีย ในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ใครจะกล้ายั่วยุผู้อาวุโส ม่อเสีย กันละ?
หลินเฟิง ร้องโหยหวน ดาบของเขาส่องประกายเปลี่ยนสีด้วยความร้อนเขาถูกบีบลัดโดย จิตวิญญาณเถาวัลงูเหมือนส่วนที่เหลือของร่างกายของเขา ไม่มีส่วนไหนที่เขาสามารถเคลื่อนไหวได้
แม้ว่า หลินเฟิง จะเป็นอัจฉริยะที่พิเศษกว่าผู้อื่นและสามารถจัดผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ หรือแม้กระทั่งในระดับที่สูงกว่าเขา แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะ ม่อเสีย ที่เป็นผู้อาวุโสของนิกายหยุนไห่ได้ ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองมีขนาดใหญ่เกินไป ในขณะนั้น หลินเฟิง ได้หมดสิ้นกำลัง
"ช่างน่าประทับใจจริงๆผู้อาวุโสที่ข่มเหงศิษย์ ... เจ้าช่างเป็นคนที่ไร้ยางอายจริงๆ
ในขณะนั้นได้ยินเสียง มีเสียงตะโกนที่เย็นยะเยือบออกมา เหล่าสาวกประหลาดใจมึนงง น่าแปลกใจคนที่พูดคนนั้นคือ... หลิวเฟย แม่นางหลิวเฟย ที่งดงาม... ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของศิษย์ในนิกายจำนวนมากอย่างไม่น่าเชื่อ
"หือ?"ม่อเสีย ขมวดคิ้วและมองไปที่ หลิวเฟย เขาคร่ำครวญ แต่เขาไม่กล้าโจมตี หลิวเฟย แม้แต่น้อย เขารู้สถานะและภูมิหลังของ หลิวเฟย เรื่องตลกคือพ่อของ ม่อเสีย, ม่อชางหลาน มีชื่อเดียวกับพ่อของ หลิวเฟยหลิวชางหลาน แต่ หลิวชางหลาน เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมากกว่า ม่อชางหลาน ทุกคนรู้เรื่อง หลิวชางหลานในนิกายหยุนไห่ดี พ่อของ ม่อเสีย ห่างกันคนละชั้นเมื่อเปรียบเทียบ
ผู้ใช้ธนูได้อย่างอัฉริยะ หลิวชางหลาน และประมุขของนิกาย หนานกงหลิง มีทีความหยิ่งยโสนั้น แต่เป็นที่รู้จักตั้งแต่พวกเขาจะเด็ก พวกเขาดูแลสาวกของพวกเขาในนิกาย พวกเขาทั้งสองเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่ดีที่สุดภายในนิกาย พวกเขาเป็นอัจฉริยะมิตรภาพของพวกเขาก็ลึกและจริงใจมากพวกเขาเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง
หลิวเฟย ปลดปล่อยจิตวิญญาณและคว้าธนูเงินของเธอจากด้านหลัง เธอเตรียมลูกธนูสามดอกตามด้วยลูกธนูจิตวิญญาณสามดอกและเล็งไปที่จิตวิญญาณเถาวัลงู
หลิวชางหลาน มีความแข็งแกร่งอย่างมาก หลิวเฟย อิจฉาความแข็งแกร่งและพลังของพ่อ ถึงแม้ว่าเธอจะเกลียด หลินเฟิง ที่ทำไว้เจ็บแสย แต่เธอก็ไม่อาจทนเห็นภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้าเธอได้ ม่อเสีย เป็นแค่คนที่มีอำนาจเพียงหยิบมือ ช่างหน้าด้านและน่าขยะแขยง
หลิวเฟย ไม่รู้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก่อนหน้านี้จิตวิญญาณเถาวัลงู ยังไม่ได้เคลื่อนไหว
หลินเฟิง ดูน่าขันจริงๆเป็นครั้งที่สองแล้ว เขาไม่คิดว่า หลิวเฟย จะเป็นคนที่พยายามช่วยเขาในช่วง
เวลาสุดท้ายของชีวิต
"ข้าเอาชีวิตไปเสี่ยงตายโดยเปล่าประโยชน์ ข้าประมาทเกินไป มันเป็นความผิดของข้า " หลินเฟิง รู้สึก
หดหู่ใจ เขาไม่คิดว่าเขาจะเจอ ม่อเสีย และเขาก็ไม่คิดว่า ม่อเสีย จะทำสิ่งชั่วร้ายและไร้ยางอายเช่นนี้
นอกจากนี้ในตอนนั้น ม่อเสีย แข็งแกร่งกว่าเขามากจนไม่มีใครช่วยเขาได้ หลิวเฟย เป็นข้อยกเว้น
แต่เธอก็ไม่แข็งแกร่งพอ เธอพยายามที่จะช่วยแต่มันเปล่าประโยชน์
"รอววววววว .......... " เสียงคำรามของสัตว์อสูรที่ได้ยินนั้นดุร้ายและรุนแรง สัตว์อสูรที่อยู่รอบๆ พวกมัน
เร็วมาก แต่ยังมีหมอกสีดำขนาดยักษ์ที่ต้องระวัง ไม่มีอะไรสามารถต้านทานได้ หมอกสีดำขนาดมหึมา
กำลังกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างบนผืนป่า มันมีพลังมหาศาลและพลังทำลายล้างที่เหลือเชื่อ
"มันช่างรุนแรงมาก! มันต้องเป็นปีศาจแน่ๆ! อย่างน้อยก็เป็นระดับเจ็ด! "ม่อเสีย รู้สึกได้ถึงพลังอัน
ยิ่งใหญ่ที่กำลังใกล้เข้ามา สัตว์ประหลาดตัวนั้นอยู่ในระดับจิตวิญญาณขั้นที่เจ็ด ซึ่งหมายความว่ามันมี
ความแข็งแกร่งประมาณผู้บ่มเพาะพลังระดับจิตวิญญาณขั้นที่เจ็ด ความแข็งแรงนั้นเป็นธรรมชาติของ
สัตว์อสูรซึ่งหมายความว่ามันมีพลังมากยิ่งกว่าผู้บ่มเพาะพลังระดับจิตวิญญาณขั้นที่เจ็ด ผู้บ่มเพาะพลัง
ต้องฝึกเพื่อให้บรรลุความแข็งแรงขั้นพื้นฐานของร่างกาย แต่ทว่าที่สัตว์มีความแข็งแรงตามธรรมชาติ
ซึ่งเพิ่มระดับพลังพวกมัน
ม่อเสีย กำลังเฝ้าดู หลินเฟิง และหวังว่าจะได้เห็น หลินเฟิง ตาย
"ม่อเสีย, ไอชาติชั่ว!" เสียงตะโกนดังมากซึ่งดูคล้ายกับเสียงฟ้าร้องผ่านอากาศ
ใบหน้าของ ม่อเสีย เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดี จิตวิญญาณเถาวัลงู ของเขาได้ปล่อย หลินเฟิง ออกไป
โดยไม่ได้ตั้งใจและเดินตรงไปยังกลุ่มสัตว์อสูร
Cr.tuiimyk แปลเล่นๆครับ ไม่อยากรอนานๆ ถ้าตกหล่นแปลผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ มือใหม่ครับ
อ่าน Eng ได้ที่ http://totallyinsanetranlation.com/peerless-martial-god-index/
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
รบกวนกดโฆษณาเพื่อนเป็นกำลังให้แก่ผู้แปลด้วยนะครับ
คลิก >> http://cpmlink.net/KuQOAA
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น