ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Translate

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Advice โปรแรงส่งท้ายปี ลดทั้งเว็บสูงสุด 20% 19-25 ธันวา 16

Peerless Martial God ตอนที่ 9



ตอนที่ 9 คมดาบสะบั้นคอ






” กร๊าซซซ!” หลินเฟิงสังเกตเห็นถึงสิ่งผิดปกติในขณะที่ก้าวไปข้างหน้า

เขาเพียงก้าวไปสั้นๆ ความกลัวทำให้จิ้งยวิ๋นถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หลินเฟิงตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? หมาป่าอเวจีครอบครองจิตวิญญาณสัตว์อสูร แม้แต่ผู้ที่บรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 และฝึกฝนทักษะมากมายก็หลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับมัน

โดยปราศจากคำพูด หลินเฟิงพุ่งตรงไปยังหมาป่าอเวจีด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นในทุกย่างก้าว

เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น จิ้งยวิ๋นถึงกับสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว คนที่เหลือต่างก็มองออกไปอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง

” กร๊าซซซซ บู๊วววววว! ” หมาป่าอเวจีเริ่มที่จะเห่าหอนอยากประหลาดใจเมื่อเห็นหลินเฟิงกำลังพุ่งตรงมาหามัน ใบหน้าของมันกลับกลายเป็นหน้าเกลียด แววตาส่องประกายถึงความกระหายเลือด แม้กระทั่งนักสู้ที่มีประสบการณ์มากมายยังต้องสั่นสะท้าน

กรงเล็บที่เจาะอยู่บนแผ่นหลังของจิ่งเฟิงค่อยๆถูกถอนออกอย่างช้าๆ หมาป่าอเวจีกระโดดขึ้นไปกลางอากาศและคำรามอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของมันเริ่มกลายเป็นสีดำอย่างช้าๆ และปลดปล่อยแสงสีขาวสว่างออกมา ลำตัวของมันกลายเป็นสีดำสนิทและมีแสงสีขาวที่น่าขนลุกปกคุมทั่วทั้งตัว

” หลินเฟิง! กลับมา! ” จิ้งยวิ๋นตะโกน แต่มันก็สายเกินไป หลินเฟิงเริ่มใช้ออกด้วยทักษะเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทราด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้

ชิงอีและหานหมานทั้งคู่แข็งค้างไปด้วยความกลัว หัวใจของพวกเขาราวกับจะหยุดเต้น พวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่การต่อสู้จะเริ่มต้น

ริ้วแสงที่สว่างไสวปรากฏขึ้นตรงหน้าของหมาป่าอเวจี เมื่อแสงนั้นหายไปมันราวกับว่าเวลาได้หยุดนิ่ง หลินเฟิงหยุดเคลื่อนไหวสัญญาณชีวิตทั้งหมดหายไป หมาป่าอเวจีคำรามออกมาเมื่อได้รับชัยชนะ

ความเงียบเข้าครอบงำ….

จิ้งยวิ๋นนำมือขึ้นมาปิดปาก นางเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและเต็มไปด้วยความกลัว หลินเฟิงตกตายไปแล้วจริงๆ…

ทันใดนั้นเอง ” กะ กะ กร๊าซซ.. ” หมาป่าอเวจีล้มลงกับพื้นด้วยสายตาที่เปิดกว้างเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ร่องรอยบนคอของมันเหมือนกับมีรอยสีแดงขนาดเท่าเส้นด้ายปรากฏพร้อมเลือดที่ไหลออกมาอย่างไม่สิ้นสุด

” เกิดอะไรขึ้น? หมาป่าอเวจีตายแล้ว!” ทั้งหานหมานและชิงอีกล่าวออกมาขณะที่มองดูไปยังฉากตรงหน้าด้วยความตื่นตระหนก

” หลินเฟิง.. จะ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ” จิ้งยวิ๋นถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ ขณะที่มองไปยังหลินเฟิงที่ยังคงไร้การเคลื่อนไหวเป็นเวลานาน ไม่แม้แต่จะหายใจ

เสียงของจิ้งยวิ๋นแสดงออกถึงความไม่มั่นใจ ทั้งหานหมานและชิงอีต่างวิตกเป็นอย่างมากเมื่อเห็นท่าทีของหลินเฟิง

ในที่สุดหลินเฟิงก็ขยับ เขาหันกลับมาอย่างช้าๆ แววตาส่อประกายถึงความตื่นเต้น

” ข้าไม่เป็นไร ” หลินเฟิงกล่าวออกมา พร้อมทั้งยืดแขนและขา เขาจำได้ถึงวินาทีที่เข้าโจมตี ท่วงท่าที่ถูกใช้ออกไปนั้นราวกับเส้นแสงสีเงินระยิบระยับตัดผ่านท้องนภา มันรวดเร็วดุจสายฟ้า ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ แน่นอนว่าข้อจำกัดของทักษะหนึ่งดาบสังหารนั้นคือต้องรวดเร็วกว่าอีกฝ่าย

” ฟิ้วววว ” จิ้งยวิ๋นถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในที่สุดพวกเขาก็ผ่อนคลายลง ความรู้สึกนึกคิดของพวกเขากลับมาอีกครั้ง ปราศจากคำพูด พวกเขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงราวกับสัตว์ประหลาด

” ทำไมพวกเจ้าถึงมองข้าเช่นนั้น? ” หลินเฟิงกล่าวอย่างเขินอายพร้อมกับเกาหัว การจ้องมองของพวกเขาทำให้รู้สึกราวกับจะมองให้ทะลุเสื้อผ้า มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

” สัตว์ประหลาด! ” มันเพียงคำเดียวที่ถูกพูดออกมา ทั้งจิ้งยวิ๋นและชิงอีต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของหานหมาน

” หลินเฟิง… เจ้ามีจิตวิญญาณแห่งดาบ… ” ชิงอีมั่นใจในสิ่งที่เห็น เขาเห็นร่อยรอยที่คอของหมาป่าอเวจี มันต้องเกิดจากดาบแน่นอน มีเพียงดาบเท่านั้นที่สามารถทำให้เกิดร่องรอยเช่นนี้

” เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแค่ฝึกฝนทักษะดาบก็เท่านั้น ” หลินเฟิงส่ายหัว มีเพียงแค่ผู้ที่ครอบครองจิตวิญญาณแห่งดาบเท่านั้นที่จะปลดปล่อยทักษะดาบที่ทรงพลังออกไปได้

” ข้าเข้าใจผิด? เป็นไปได้อย่างไรที่เจ้าไม่มีจิตวิญญาณแห่งดาบ? ” ชิงอียังคงสงสัย

” ข้าไม่ได้ครอบครองจิตวิญญาณแห่งดาบจริงๆ ” หลินเฟิงยังคงปฏิเสธ ชิงอีถึงกับอ้าปากค้าง เป็นไปได้อย่างไรผู้ที่ไม่ได้ครอบครองจิตวิญญาณแห่งดาบจะแสดงถึงทักษะการใช้ดาบที่ทรงพลังเช่นนี้? ทักษะที่ฟลินเฟิงครอบครองแต่ละอย่างนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก ทั้งทักษะเก้าคลื่นทลายสวรรค์ เขาถึงกับเข้าถึงจุดสูงสุดของมันและใช้ออกมาได้อย่างเชี่ยวชาญ

” ข้าสงสัยว่าจริงๆแล้ว เจ้าจะสามารถฝึกฝนและใช้ทักษะได้ทุกประเภท ข้าพูดถูกไหม? ” ชิงอีกล่าวอย่างเหลืออด เขาไม่ได้ถามถึงจิตวิญญาณของหลินเฟิง เพียงแค่คิดว่าผู้ที่ครอบครองจิตวิญญาณที่ทรงพลังยอมเผยให้เห็นทักษะของพวกเขา คนประเภทนี้ย่อมไม่ต้องการที่จะกล่าวถึงจิตวิญญาณจริงๆของพวกเขาเป็นแน่ ทั้งหลินเฟิงยังไม่แม้แต่จะเผยจิตวิญญาณให้เห็น มันเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาว่าจิตวิญญาณของเขาแท้จริงแล้วมันคือะไร

หลินเฟิงยิ้มเล็กน้อย มันเป็นความจริงที่เขาจะฝึกฝนและเรียนรู้ทักษะใดๆก็ได้ นอกจากนี้เป็นความจริงที่ว่าความสามารถในการทำความเข้าใจของเขาก็ทรงพลังด้วยเช่นกัน

” สัตว์อสูรระดับ 9 .. คงได้เวลาเก็บเกี่ยววัตถุดิบล้ำค่าแล้ว ” หานหมานยิ้มอย่างตื่นเต้น เขานำมีดออกมาและเริ่มแล่เนื้อของมันเพื่อที่จะเก็บเกี่ยววัตถุดิบล้ำค่าออกจากร่างของมัน ” หลินเฟิง.. เจ้าเป็นคนที่สังหารมันดังนั้นหมาป่าอเวจีจึงควรจะเป็นของเจ้า ถ้าเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเราคงตายไปแล้ว ทั้งหมดจะเป็นของเจ้าคนเดียวเท่านั้น “

” จิ้งยวิ๋น ชิงอี พวกเจ้ามีอะไรจะคัดค้านหรือไม่? “

จิ้งยวิ๋นและชิงอีพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ถ้าหลินเฟิงไม่ได้อยู่ที่นี่พวกเขาคงจะตกตายและเป็นอาหารของมันไปแล้ว

” ข้าไม่ยอมรับ ทุกอย่างที่พวกเราได้จากเหล่าสัตว์อสูรจนถึงตอนนี้ ควรจะแบ่งกันอย่างเท่าเทียบให้แก่พวกเราทั้ง 4 คน ” หลินเฟิงส่ายหัว ตอนแรกคนอื่นๆยังคิดว่าเขาเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด พวกเขาก็ให้หลินเฟิงหลบอยู่ด้านหลัง และแม้ว่าหมาป่าอเวจีควรที่จะเป็นของเขา แต่หลินเฟิงก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะเห็นผลประโยชน์และหลงลืมศีลธรรม

พวกเขาทั้งหมดเห็นแววตาที่แน่วแน่ของหลินเฟิง จึงพยักหน้าและกล่าวยอมรับ ” ตกลง “

” ดูเหมือนพวกเจ้าจะหลงลืมข้าไปนะ ” น้ำเสียงที่อ่อนแรงถูกกล่าวออกมา แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากจิ่งเฟิง

จิ่งเฟิงที่โดนหมาป่าอเวจีเข้าทำร้ายจนแผ่นหลังถูกเปิดจนเห็นเนื้อแดงและกระดูก หมาป่าอเวจีเหยียบย้ำและบดขยี้กระดูกของเขา ในเวลานี้จิ่งเฟิงไม่สามารถที่จะลุกขึ้นยืนได้และกำลังจ้องมองหลินเฟิงและคนอื่นๆด้วยสภาพอันน่าเวทนา

” บัดซบ! ลืมมันไปได้ยังไง! ” หานหมานสาปแช่งไปยังจิ่งเฟิง ไอสารเลวนี่บังคับให้พวกเขาต่อสู้กับวานรคลั่งโดยลำพัง แม้แต่ช่วงเวลาที่อันตราย มันกลับชักนำให้หมาป่าอเวจีมุ่งหน้ามาที่พวกเขาและบังคับให้พวกเขาตกตายไปพร้อมกับมัน

” เหอะ! ไปกันเถอะ ชีวิตของมันขึ้นอยู่กับสวรรค์เท่านั้น ” จิ้งยวิ๋นกล่าวออกมาด้วยความโกรธ

ในขณะที่ทั้ง 4 กำลังจะจากไป จิ่งเฟิงก็เริ่มที่จะข่มขู่พวกเขา ” พวกเจ้าลืมไปแล้วหรือไง พี่ใหญ่ของข้ารู้ว่าพวกเรามาที่หุบเขาวายุทมิฬด้วยกัน ถ้าหากว่าข้าตกตายไปและพวกที่รอดออกไปจากที่นี่ พี่ของข้าจะต้องตระหนักถึงความผิดปกติอย่างแน่นอน “

หานหมานและคนอื่นๆ หยุดเดินและหันกลับมาจ้อมมองจิ่งเฟิงอย่างลังเลใจ

” มันจะเป็นการดีกว่า ถ้าหากพวกเจ้านำข้ากลับไปและแบ่งสมบัติให้ข้าด้วยเช่นกัน มิฉะนั้น พวกเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน “

” เรื่องราวมันเป็นเช่นไร ” หลินเฟิงถามขึ้น ไอคนใกล้ตายนี่ถึงกับกล้าที่จะข่มขู่พวกเขา

” พี่ของมัน จิ่งห้าว เป็นหนึ่งในศิษย์ที่ทรงพลัง ปัจจุบันรั้งอยู่อันดับ 6 ของการจัดอันดับ เขาเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่บรรลุถึงขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 และยังครอบครองจิตวิญญาณแห่งดาบ เป็นคนที่แข็งแกร่งเหนือศิษย์คนอื่นๆอย่างสิ้นเชิง ” ชิงอีอธิบายอย่างจริงจัง

หลินเฟิงเดินตรงไปยังจิ่งเฟิงด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา

” เจ้าเศษขยะ ช่วยข้าขึ้นไปเดี๋ยวนี้! ” จิ่งเฟิงออกคำสั่ง

หลินเฟิงครุ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะหายไป ” ข้าละนับถือในความใจกล้าของเจ้าจริงๆ “

น้ำเสียงของหลินเฟิงเยียบเย็นลง เขานำดาบออกมา ก่อนที่จะปลดปล่อยจิตสังหาร และจ้องมองไปยังจิ่งเฟิง

” เจ้าจะทำอะไร!? ” จิ่งเฟิงตระหนักได้ถึงความผิดปกติ ความหนาวเย็นวิ่งผ่านร่างกายไปจนถึงกระดูกสันหลัง

” หลินเฟิง! ” ชิงอีตระโกนออกมา จิ่งห้าวเป็นศิษย์ที่น่าอัศจรรย์ และยังเป็นผู้ที่รั้งอยู่ในอันดับที่ 6 เขาแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้ว่าหลินเฟิงจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่อาจจะนำไปเปรียบได้ เพราะระดับยังคงห่างกันเกินไป ชิงอีไม่คาดคิดว่าหลินเฟิงจะกล้าเผชิญหน้ากับจิ่งห้าว

หลินเฟิงจ้องมองไปยังชิงอีและคนที่เหลือ ” ดูการกระทำของมัน เจ้าคิดหรือว่าหลังจากที่พวกเราช่วยเหลือมันแล้ว มันจะปล่อยเราไปจริงๆ? “

หน้าของเขาแข็งค้าง เหงื่อของพวกเขาไหลเย็นออกมาทั่วร่าง การกระทำของจิ่งเฟิงแสดงออกอย่างชัดเจน หากว่าพวกเขาช่วยเหลือมัน เป็นไปได้มากว่ามันจะวางแผนชั่วร้ายเอาไว้

“พวกเราไม่เคยกระทำผิดต่อมัน มันคิดว่าตัวเองนั้นถูกต้องเสมอ เมื่อมันทำพลาด มันยังกล้าที่จะให้พวกเรารับหน้าออกสู้อีกแน่ ถึงเวลานั้นพวกเราคงจบสิ้น ไม่เพียงคนอย่างมันจะไม่ปรับปรุงตัวเอง แต่มันกลับไม่ช่วยเหลือพวกเรา ด้วยเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันยังจะให้เราแบ่งสมบัติให้มันด้วยอย่างเท่าเทียม แล้วพวกเจ้ายังต้องการช่วยเหลือคนเช่นนี้อีกหรือ? “

หลินเฟิงอธิบายอย่างอดทน แม้ว่าเขาจะอายุเพียง 15-16 ปีเท่านั้น หลินเฟิงสามารถไตร่ตรองได้ขนาดนี้ เพราะเขามีประสบการณ์ทั้งในชีวิตก่อนและชีวิตนี้ มันทำให้เขาอ่านสถานการณ์ได้มากกว่าผู้อื่น

สุดท้ายทั้ง 3 ต่างพยักหน้าอย่างเห็นด้วยต่อสิ่งที่หลินเฟิงกล่าวมา ในความเป็นจริงพวกเขาเพียงแค่กลัวว่า ถ้าไม่พาจิ่งเฟิงไปด้วย จิ่งห้าวจะต้องมาแก้แค้นพวกเขาอย่างแน่นอน

” ขะ ข้าสาบานได้เลยว่าหากพวกเจ้าพาข้ากลับไปด้วย ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป และจะไม่กล่าวถามถึงสมบัติอีก ” จิ่งเฟิงกล่าวออกมาขณะหมอบคลานอยู่บนพื้น

” มันสายไปแล้ว! ” หลินเฟิงแทงดาบลงไปที่ลำคอของจิ่งเฟิง ใครจะไปเชื่อคำพูดของเจ้ากัน? ถ้าจิ่งเฟิงยอมรับผิดเมื่อครู่ มันอาจจะยังได้รับความเมตตา

หลินเฟิงจ้องมองไปที่จิ่งเฟิง นัยตาของมันเบิกกว้าง แต่ไม่พบร่องรอยของชีวิตอีกต่อไป ทั้ง 3 คนจ้องมองไปยังหลินเฟิงด้วยความตกตะลึง หัวใจของหลินเฟิงนั้นเต้นระรัว แน่นอนว่าในการเผชิญกับโลกกว้าง การนองเลือดและเข่นฆ่า เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้ แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงเป็นได้แค่มือใหม่ที่ไร้ประสบการณ์

” ถ้าจิ่งห้าวมาหาพวกเจ้า จงบอกความจริงแก่มัน บอกมันไป ข้าหลินเฟิงเป็นผู้ที่สังหารจิ่งเฟิงเอง ” หลินเฟิงกล่าวขณะที่จ้องมองออกมาไปอย่างเฉยเมย หลินเฟิงไม่ได้เกรงกลัวจิ่งห้าวถึงแม้ว่ามันจะบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9



เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/

ความคิดเห็น

Facebook