ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Translate

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Advice โปรแรงส่งท้ายปี ลดทั้งเว็บสูงสุด 20% 19-25 ธันวา 16

Peerless Martial God ตอนที่ 7


ตอนที่ 7 หุบเขาวายุทมิฬ




หลินเฟิงหนีมาจนถึงที่ปลอดภัย ความรู้สึกที่เหน็บหนาวเกาะกุมไปทั้งหัวใจ เขาคิดไปถึงผู้ที่แข็งแกร่งจากสามารถควบคุมโลกและปกครองผู้อ่อนแอ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มีพละกำลังอันแข็งแกร่งพวกเขาจะไม่ให้ความสำคัญต่อชีวิตของผู้ที่อ่อนแอกว่า หากมีความสามารถเพียงพอพวกเขาก็จะฆ่าโดยไม่ลังเล

หลินเฟิงไม่ได้มีเจตนาที่ชั่วร้าย เขาเพียงแต่เห็นแสงออกมาจากถ้ำและต้องการที่จะเข้าไปดู เพียงแค่ต้องการไปดูเท่านั้นและจะจากไป แต่ถึงอย่างไรหลิ่วเฟยก็พยายามที่จะสังหารเขาถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์จากนิกายหยุนไห่เหมือนกัน

” ในบรรดาผู้ที่มีจิตวิญญณแห่งคันศรจะมีความสามารถที่จะติดตามศัตรูได้ด้วยการโจมตีจากระยะไกลเพื่อที่จะรักษาระยะห่างไว้ แต่ถ้าเป็นการต่อสู้ระยะประชิดข้าก็สามารถที่จะสังหารนางด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว ” หลินเฟิงคิดว่าการใช้ดาบเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจ ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าและการโจมตีที่แม่นยำ ลูกศรที่พุ่งเข้ามาใกล้เขาถูกผ่าออกเป็น 2 ส่วน มันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าการฝึกของเขานั้นไม่สูญเปล่า

หลินเฟิงได้ฝึกซ้อมโดยไม่หยุดพักเลยเป็นเวลา 7 วันขณะที่อยู่บนหน้าผา ต้องขอบคุณจิตวิญญาณแห่งความมืดที่ช่วยยกระดับความเข้าใจของเขา แต่จิตวิญญาณเหล่านี้ต้องใช้พลังเป็นจำนวนมากในการเปิดใช้ เขาเรียกมันกลับเข้ามาและฝึกฝนทักษะเคลื่อนที่ดั่งเงาจัทราต่อ

” หลิ่วเฟย ” หลินเฟิงคิดไปถึงใบหน้าที่งดงามของนาง เขาออกหาฟืนมาก่อกองไฟและนำชุดที่เปียกโชกออกมาตาก

ไม่ไกลจากที่หลินเฟิงอยู่ ได้ปรากฏร่างเงา 4 ร่าง คนเหล่านั้นต้องเป็นศิษย์จากนิกายหยุนไห่อย่างแน่นอน

” มีใครบางคนอยู่ตรงนั้น เราควรที่จะเชิญเขามาเข้าร่วมกับเรา หากเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาเข้าร่วมกับเราคงจะเป็นสิ่งที่ดี ” หนึ่งในนั้นผู้ที่สวมชุดสีเขียวอ่อนกล่าวขึ้น

” แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะแข็งแกร่งหรือเปล่า ถูกไหม? ” ชายที่ดูสูงส่งและน่าเกรงขามกล่าว อย่างไรก็ตามก็ไม่มีใครคัดค้าน

ทั้งกลุ่มประกอบไปด้วยหนึ่งสตรีและสี่บุรุษ พวกเขาได้เดินเข้ามาใกล้หลินเฟิง ศิษย์สตรีเห็นว่าเขาไม่ได้สวมท่อนบน ช่วยไม่ได้ที่หน้าของนางจะแดงขึ้น ” เอ่อคือ.. เจ้าช่วยสวมเสื้อของเจ้าก่อนได้ไหม? ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เขินอาย

หลินเฟิงมองไปยังดวงตาของหญิงสาว แม้ว่านางจะไม่ได้งดงามเท่าหลิ่วเฟย แต่นางก็ยังดูเปราะบางและสวยงาม ผิวที่เรียวขาวของนางดูอ่อนนุ่ม ถ้าเป็นในชีวิตก่อนของเขานางสามารถจัดได้ว่าเป็นหญิงสาวที่สวยงามมาก แต่เขากลับคิดว่าหญิงสาวในโลกนี้งดงามกว่าในโลกที่แล้วของเขา นั่นเป็นเพราะพวกนางเดินอยู่บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง

” ได้สิ ” หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่คิดมาก หลินเฟิงเป็นคนค่อนข้างที่จะเรียบง่ายจึงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว

” แล้วพวกเจ้ามีอะไรหรือ? ต้องการอะไรจากข้าหรือเปล่า? ” หลินเฟิงถามขึ้นขณะที่สวมเสื้อ

” เอาล่ะ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ พวกเราต้องการที่จะเข้าไปยังหุบเขาวายุทมิฬเพื่อไปล่าสัตว์อสูรที่ดุร้าย พวกเราเลยอยากที่จะชวนเจ้าเดินทางไปกับพวกเราด้วย ทุกอย่างที่ได้มาพวกเราจะแบ่งกันอย่างเท่าเทียม เจ้าสนใจจะมากับพวกเราไหม? ” เด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดเขียวอ่อนอธิบาย หุบเขาวายุทมิฬอยู่ทางเหนือของนิกายหยุนไห่และอยู่ท่ามกลางป่าที่กว้างใหญ่ของเหล่าสัตว์อสูร ศิษย์บางคนคิดว่าหุบเขาวายุทมิฬกว้างใหญ่กว่าภูเขาหยุนไห่เสียอีก เมื่อนิกายหยุนไห่เลือกที่จะตั้งอยู่ในภูเขาหยุนไห่และตระหนักได้ว่ามีหุบเขาวายุทมิฬอยู่ใกล้ๆ อย่างไรก็ตามมันเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการบ่มเพาะพลังเพื่อที่จะท้าทายและทดสอบความแข็งอกร่งของตัวเอง การออกล่าสัตว์อสูรสามารถที่จพรวบรวมสิ่งที่มีประโยชน์เพื่อที่จะฝึกฝนและเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์เอาตัวรอดในสถานการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย

” ได้ ข้าจะไปด้วย ” หลินเฟิงกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว เขาต้องการที่จะตามไปและเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง ถือได้ว่าเป็นเส้นทางที่รวดเร็วที่สุด

“ยอดเยี่ยม! ตอนนี้พวกเรามีกัน 5 คนแล้ว ถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับ 9 ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้” หญิงสาวดูดีความสุขที่หลินเฟิงเข้าร่วมกลุ่มกับพวกนาง นักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคือเด็กหนุ่มผู้ส่วมชุดสีขาว เขาไม่ค่อยได้กล่าวอะไรมากนักแต่ก็บรรลุถึงขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 ส่วนอีกสามคนที่เหลือล้วนอยู่ในขั้นที่ 7 หลินเฟิงก็อยู่ระดับเดียวกับพวกเขา ทุกคนเป็นศิษย์นิกายหยุนไห่ สามคนที่อยู่ขั้น 7 ขอบเขตพลังปราณถือได้ว่ายังพอมีความสามารถอยู่บ้าง ถึงแม้พวกเขาจะมีพรสวรรค์น้อยนิดแต่ก็ยังดีกว่าหลินเฟิงคนก่อน

สัตว์อสูรที่อยู่ระดับ 9 เทียบเท่าได้กับนักสู้ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงภาวนาขอให้อย่าพบกับสัตว์อสูรที่อยู่ระดับ 9 หรือสูงกว่า ถ้าเกิดต้องเผชิญจริงๆ จะทำให้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายและเป็นอันตรายอย่างมาก

” น้องชาย คนผู้นี้มีนามว่า หานหมาน ส่วนนางคือจิ้งยวิ๋น และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มพวกเรานามว่า จิ่งเฟิง ” เด็กหนุ่มที่สวมชุดสีเขียวอ่อนอธิบาย เขามีรูปร่างที่สูงใหญ่ ทั้งหานหมานและจิ้งยวิ๋นยิ้มให้หลินเฟิงเล็กน้อย แต่จิ่งเฟิงเพียงมองมาด้วยสายตาที่เฉยเมย

” ข้ามีนามว่าหลินเฟิง ” หลินเฟิงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

” เศษขยะหลินเฟิง ” นี่คือคำแรกที่จิ่งเฟิงกล่าวออกมาตั้งแต่หลินเฟิงเข้าร่วมกลุ่ม จิ่งเฟิงยิ้มอย่างเย้ยหยัน ” ศิษย์น้องจิ่งยวิ๋น ข้าว่ามันจะเป็นการเสียเวลาเปล่า การไปพามันมาด้วยจะกลายเป็นภาระเสียเปล่าๆ “

พวกเขาทั้งหมดเคยได้ยินเกี่ยวกับหลินเฟิงมาก่อน มีศิษย์จำนวนมากในนิกาย แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยเห็นหลินเฟิงมาก่อน แต่พวกเขาต่างก็รู้จักนามนี้กันดี

หลินเฟิงขมวดคิ้ว ทุกคนต่างอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด และดูเหมือนว่ามันจะแย่ลงเรื่อยๆ

” น้องชายหลินเฟิง จิ่งเฟิงเป็นคนที่มากไปด้วยความสามารถ เขาบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 บนเส้นทางการบ่มเพาะ มันคนเป็นเรื่องยากที่เขาจะไม่เย่อหยิ่ง อย่าได้ไปใส่ใจเลย หากเจ้าได้ยินสิ่งใด เพียงแค่เมินเฉยต่อเขาเสีย ยังไม่พวกเราก็ร่วมทางกันแล้ว ” ชายร่างสูงนามหานหมานพยายามปลอบหลินเฟิง เขากล่าวออกมาด้วยความจริงใจ

” ถูกต้อง อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นศิษย์จากนิกายเดียวกันจริงมั้ย! ” ทั้งชิงอีและจิงยวิ๋นเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านั้น สุดท้ายแล้วจิ่งเฟิงก็ไม่สามารถที่จะกล่าวอะไรต่อได้

หลินเฟิงเห็นความพยายามของทั้งสามคนที่พยายามปลอบเขาด้วยความจริงใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปฏิเสธที่จะรวมกลุ่มต่อ หลักจากนั้นทั้งห้าก็เดินทางไปยังหุบเขาทางเหนือ และในที่สุดก็ได้มาถึงหุบเขาวายุทมิฬ

” หลินเฟิง หุบเขาวายุทมิฬครอบคุมพื้นที่กว้างใหญ่มหาศาล ข้าเกรงว่าจะมีเพียงผู้อาวุโสของนิกายหรือนักสู้ที่มีประสบการณ์มากเท่านั้นจึงจะรู้ว่ามันกว้างใหญ่เพียงใดกันแน่ พวกเรายังอยู่เพียงแค่ชายขอบของมันเท่านั้น “

หลินเฟิงพยักหน้า เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหานหมานเป็นคนฉลาด

หุบเขาวายุทมิฬปกคุมไปด้วยพืชพันธุ์มากมาย เหมาะแก่การซ่อนตัวและเป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าสัตว์อสูรเลยก็ว่าได้

” นั่นมัน สัตว์อสูรระดับ 5 หมาป่าวายุ เร็วเข้าจัดการมัน! ” หานหมานตะโกนขึ้น เขาต้องการให้ชิงอี ช่วยในการจับมัน ส่วนต่างๆของมันมีประโยชน์มาก

” เหอะ สัตว์อสูรระดับ 5 … ก็ไม่เท่าไร ” จิ่งเฟิงกล่าวออกมาอย่างหยิ่งยโสและไม่แยแส

หลินเฟิงส่ายหัวเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ เขาเป็นเพียงแค่ขั้นที่ 8 ขอบเขตพลังปราณ ถึงแม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะเหนือกว่าค่าเฉลี่ยเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่น ความหยิ่งยโสและพิจารณาว่าทุกอย่างนั้นไร้ค่าและด้อยกว่าเมื่อเทียบกับการประสบความสำเร็จของเขา

พวกเขาเก็บเกี่ยวทรัพยากรตลอดการเดินทาง สัตว์อสูรทุกตัวที่พวกเขาพบพวกมันมีความแข็งแกร่งไม่เกินระดับ 7 ดังนั้นพวกเขาจึงจัดการมันได้อย่างง่ายดาย

” ฮ่าๆ ข้ารู้สึกได้ว่ากระเป๋าเริ่มหนักขึ้นแล้วหนักขึ้นเรื่อยๆ เราเก็บเกี่ยวได้ราวๆ 30-40 ชิ้น ไม่เลวเลยสำหรับการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ ” หานหมานมีร่างกายที่สูงใหญ่และบึกบึน เขามีหน้าที่แบกสัมภาระ ช่วยไม่ได้ที่จะมีความสุขเมื่อรู้สึกได้ถึงกระเป๋าที่หนักขึ้น

” แต่อีกไม่กี่กิโลเราจะถึงหุบเขาวายุทมิฬแล้ว เหล่าสัตว์ร้ายที่เจอจะต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้น เราควรจะระมัดระวังให้มาก ” ชิงอีเตือน

” เข้าใจแล้ว ” หานหมานตอบกลับ

” นั่นมัน สัตว์อสูรระดับ 8 วานรคลั่ง! ” หานหมานกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นสัตว์อสูรตัวใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า วานรคลั่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าโหดร้ายและมีพละกำลังหมาศาล สามารถที่จะฉีกกระชากเสือได้ด้วยมือเปล่า เป็นหนึ่งในสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในบริเวณนี้

” จิ่งเฟิง ข้าจะอยู่กับเจ้า ” จิ้งยวิ๋นกล่าวกับจิ่งเฟิง สัตว์อสูรระดับ 8 ไม่สามารถที่จะทำอันตรายกับจิ่งเฟิงได้ เขาแข็งแกร่งกว่าพวกมันมากหากเทียบกัน

” ฮ่าๆๆ จิ้งยวิ๋น เจ้าจะกังวลไปทำไม? เห็นหรือเปล่ามีใครบางคนกำลังเพลิดเพลินกับผลงานของพวกเรา มันไม่เคยออกไปสู้เลยแม้แต่ครั้งเดียว สงสัยจริงๆว่ามันคงตั้งใจจะพึ่งพาพวกเราโดยไม่ต้องลงแรงเลยแม้แต่นิดเดียว ” จิ่งเฟิงกล่าวอย่างเย้ยหยันขณะที่เหลือบมองไปยังหลินเฟิง

หลินเฟิงหัวเราะออกมาเล็กน้อย คนอย่างเขาเนี่ยนะจะพึ่งพาคนอื่นโดยที่ไม่ทำอะไร? ที่เขาไม่ออกไปต่อสู้ก็เป็นเพราะว่า หานหมานและชิงอีทั้งสองต่างเป็นผู้ที่ออกตัวไปก่อน และลงมือก่อนใครเสมอ ในช่วงเวลาคับขัน จิ่งเฟิงเพียงยืนกอดอกและไม่ขยับแม้แต่ปลายนิ้วด้วยซ้ำ และในตอนนี้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับ 8 จิ่งเฟิงยังต้องการให้หลินเฟิงออกไปสู้กับมัน ในสายตาของจิ่งเฟิง หลินเฟิงนั้นเป็นเพียงแค่เศษขยะ เศษขยะที่ไม่สามารถต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับ 8 ได้ สุดท้ายแล้วเขาจะต้องตกตายอย่างแน่นอน

” จิ่งเฟิง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? นอกจากเจ้าแล้วจะมีใครที่สามารถต่อกรกับสัตว์อสูรระดับ 8 ได้อีก ถ้าเจ้าปล่อยให้หลินเฟิงออกไปสู้ มันก็เหมือนกับปล่อยให้เขาไปตาย ” จากคำกล่าวของชิงอี เห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่พอใจอย่างมาก

” ตัวมันยังไม่ได้ทำอะไรเลยและยังจะมาแบ่งปันการเก็บเกี่ยวของพวกเรา มันไม่ถูกต้อง! หากมันตายไปสักคน แต่ละคนก็คงได้ส่วนแย่งมากขึ้นจริงไหม? ” จิ่งเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ขุ้นเคือง

” จิ่งเฟิง พวกเรามาด้วยกัน ก็ต้องร่วมมือกัน! หลินเฟิงเชื่อใจจึงมาพร้อมกับพวกเรา ” หานหมานกล่าวด้วยความไม่พอใจ

” เหอะ ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะปกป้องมัน ก็ดี แต่ข้าไม่อยากจะดูแลเจ้าขยะนี่ฟรีๆหรอกนะ ” จิ่งเฟิงกล่าวอย่างเย็นชา ในขณะนั้นเองวานรคลั่งก็พุ่งเข้ามาหาพวกเขา

” ข้าจะลองดู ” หลินเฟิงก้าวตรงไปยังวานรคลั่ง มันเป็นสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักสู้ขอบเขตพลังปราณขั้น 8 หลินเฟิงอยากที่จะท้าทายตัวเองและอยากดูว่าใครคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

” เจ้าทำไม่ได้หรอก! ความแข็งแกร่งของเจ้ากับวานรคลั่งแตกต่างกันเกินไป เจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน! “จิ้งยวิ๋นกังวลมาก ” จิ่งเฟิง เจ้ามันน่ารังเกียจเกินไปแล้ว! “

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของจิ่งเฟิงแปรเปลี่ยนไปด้วยความโกรธ เขามองไปที่ร่างกันเปราะบางและงดงามของจิ้งยวิ๋น ด้วยสายตาชั่วร้าย ” ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นหญิงสาวที่งดงาม ข้าคงทุบตีเจ้าไปแล้ว “

” ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ” หานหมานกล่าวขณะว่างกระเป๋าลง และเดินไปเคียงข้างหลินเฟิง

” ข้าก็จะไปด้วยเช่นกัน ” ชิงอีตั้งใจเช่นเดียวกับหานหมาน

” ข้าด้วย หากเราทั้ง 4 ร่วมมือกัน อาจจะยังพอรับมือกับมันได้! ” จิ้งยวิ๋นกล่าวออกมาอย่างแน่วแน่

” พวกเจ้าประเมินความสามารถของตัวเองสูงไป ” จิ่งเฟิงที่อยู่ด้านหลังของพวกเขากล่าวออกมาด้วยความเย้ยหยัน วานรคลั่งเป็นสัตว์อสูรที่ป่าเถื่อนและแข็งแกร่งเป็นพิเศษ นักสู้ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 7 เพียงไม่กี่คน ไม่อาจที่จะรับมือมันได้

หลินเฟิงชำเลืองไปยังเหล่าคนที่ยืนเคียงข้างกับเขาและรู้สึกถึงความอบอุ่นที่หัวใจ เขายิ้มออกมาอย่างมีความสุข

รอยย่นที่จมูกแสดงถึงความไม่มั่นใจ “บางที ข้าอาจจะไม่สามารถจัดการมันได้ …. แค่บางทีน่ะน๊ะ “




เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/

ความคิดเห็น

Facebook