ตอนที่ 51 ความโกรธของหลินเฟิง
ฝ่ามือทองคำที่มีพลังแรงกดดันที่รุนแรงกำลังพุ่งเข้าหาหลินเฟิง ฝูงชนได้จินตนาการถึงภาพ
หลินเฟิงกระเด็นลอยออกไปด้วยการโจมตีของฝ่ามือทองคำ น่าหลานเฟิง ได้รับความพ่ายแพ้
โดยการโจมตีที่คล้ายกันนี้ แล้วจะเกิดอะไรกับหลินเฟิงเล่า?
"จงหายไปซะ!" หลินเฟิงกล่าวอย่างจริงจัง แสงจากดาบของเขาส่องประกาย สายตาทุกคน
กำลังจ้องมอง ดาบที่ลุกโชนไปด้วยแสงและแขนทองคำทำให้เกิดภาพอันงดงามเมื่อเข้าปะทะ
กัน เสียงที่ปะทะดังคล้ายกับฆ้องดังไปทั่วชั้นบรรยากาศ
กายาทองคำของชู่วหยุนห่าวไม่เพียงแต่ทำให้การโจมตีออกไปรุนแรงเป็นอย่างมากเท่านั้น แต่ยัง
ผสานเสริมการป้องกันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ดูเหมือนว่าแม้กระทั่งหอกและดาบก็ไม่สามารถ
ผ่านเข้ามาได้ ดังนั้นดาบของหลินเฟิงจึงไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่น้อย
นั่นคือสิ่งที่ ชู่วหยุนห่าว พึ่งพาทักษะการป้องกันของเขา เขาเชื่อมั่นในการป้องกันเป็นอย่างมาก
พอๆกับความหยิ่งยโสที่เขาเชื่อว่าไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้
"ฮ่า ๆ เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือเปล่า? ไอ้สุนัขตัวน้อย เจ้าเป็นแค่ขยะ เจ้าไม่สามารถทำให้ข้า
บาดเจ็บได้แม้แต่น้อย "ชู่วหยุนห่าว กล่าวเยาะเย้ยใส่ หลินเฟิง แสงสีทองส่องประกายอีกครั้ง
หลินเฟิงรับรู้ถึงแรงกดดันมหาศาลนั้นจากดาบของเขา ความแข็งแกร่งนั้นทำให้ดาบของเขา
สั่นสะเทือนจนเกือบหลุดจากมือเลยทีเดียว
"จริงเหรอ?" หลินเฟิงตอบอย่างไม่แยแส ถ้าดาบไม่ถูกนำมาใช้อย่างรวดเร็วก็ไม่อาจหยุดยั้งได้
มันสามารถทะลายป้อมปราการทั้งหมดได้ ผู้ใช้ดาบสามารถบดขยี้และทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวาง
หน้า ไม่มีใครสามารถรอดชีวิตจากดาบที่พวกเขามองไม่เห็น
มีจิตวิญญาณของอาวุธมากมาย แต่จิตวิญญาณของดาบเป็นหนึ่งในจิตวิญญาณของอาวุธที่
แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดของการดำรงอยู่ แม้ว่าหลินเฟิง ไม่ได้มีจิตวิญญาณดาบ แต่ความรู้
ของเขาที่มีต่อดาบนั้นเหนือเกินกว่าผู้บ่มเพาะพลังที่มีจิตวิญญาณดาบ
"อำนาจดาบจงสำแดง" หลินเฟิงกระซิบ ดาบส่องแสงเป็นประกายสว่างจ้าเริ่มกินบรรยากาศ
โดยรอบ ปราณที่แข็งแกร่งอย่างมาก มีพลังอัดแน่นไปไหลรวมไปอยู่ที่ปลายดาบของเขา
ปลดปล่อยออกมาและสร้างเสียงระเบิดอย่างรุนแรง
ตู้มมม
ดาบของ หลินเฟิง ปะทะกับ จิตวิญญาณของ ชู่วหยุนห่าว อีกครั้ง เสียงเหมือนกับกระดาษกำ
ลังฉีกขาดแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า การแสดงออกทางสีหน้าของ ชู่วหยุนห้าว เปลี่ยนไปทันที
เขาเป็นใครกันมีความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ ต้องถอยหลังไปเพื่อหลีกเลี่ยงพลังอำนาจของ
ดาบนั้นเพราะไม่สามารถพึ่งพาการป้องกันของตัวเองได้
เมื่อ หลินเฟิง เห็นว่า ชู่วหยุนห่าว ถอยหลังไปเขาวางดาบไว้ที่ไหล่ของเขาและกล่าวขณะที่ยิ้ม
อย่างเย็นชา : "เจ้าบอกว่าข้าไม่สามารถทำให้เจ้าเจ็บได้ แล้วทำไมเจ้าถึงถอยหลังกลับไปเล่า?"
เมื่อ ชู่วหยุนห่าว ได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของเขาหงุดหงิดและจ้องมองไปที่ หลินเฟิง แล้ว
กล่าวว่า "ข้ายอมรับว่าข้าดูถูกเจ้าแต่ข้านั้นแข็งแกร่งกว่าเจ้าแล้วกัน เจ้ายังเป็นสุนัขตัวน้อย
มีแต่พวกไก่อ่อนที่ไม่สามารถทนต่อการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ "
"เจ้าช่างพูดมากเสียจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่นออกจากปากเจ้าก็เหมือนกับอุจจาระ(ขี้)
"หลินเฟิงกล่าวอย่างเหลืออด "ถ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์หมายถึงการเปิดปากกว้างและใช้ความโง่เขลา
ตัดสินคนอื่น ๆ เจ้าคิดว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงนั้น มีพรสวรรค์ที่ไม่มี
ใครสามารถเทียบเคียงได้ "
"ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด ตวอหมิง เผชิญกับอันตรายตลอดมา เขาไม่แม้แต่จะกลัวเลย "เมื่อฝูงชนเห็นว่า
หลินเฟิงทำให้ ชู่วหลานถึงกับถอยหลัง ฝูงชนถึงกับตื่นเต้น พวกเขานับถือ ตวอหมิง เป็นคนที่
ยอดเยี่ยม พวกเขาเคยคิดว่าหลินเฟิงมีความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาได้ประเมิน
หลินเฟิงต่ำเกินไป... แต่ในขณะนี้ฝูงชนคิดว่าเขาแข็งแกร่งกว่า น่าหลานเฟิงและหลินเซียน
น่าหลานเฟิง และ หลินเซียน กำลังดู หลินเฟิง และเริ่มคิดเกี่ยวกับเขามากขึ้น พวกเขาคิดว่า
ก่อนหน้านี้หลินเฟิงไม่ได้มีความแข็งแกร่ง แต่ในขณะนี้พวกเขาตระหนักได้ว่าพวกเขาช่างไร้สาระ
อันที่จริงแล้ว ตวอหมิงเป็นคนที่ต้องระมัดระวังมากที่สุด อยู่ในระดับที่สูงกว่าพวกเขาทั้งสองคน
"แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่เขายังเด็กมากและเขาก็เป็นอัจฉริยะที่แท้จริง เขาต้อง
มีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ถ้าเขาสามารถเข้าร่วมกับตระกูลน่าหลานได้ จะช่วยได้มาก
"น่าหลานเฟิง ตั้งความหวังไว้ว่า ตวอหมิง จะเข้าร่วมกับตระกูลของเธอ จากนั้นเธอก็เดินตรงไป
ยังหลินเฟิงและกล่าวว่า "ตวอหมิงข้ายอมรับว่าข้าดูถูกฝีมือเจ้าเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งของ
เจ้าตระกูลของข้า ตระกูลน่าหลาน จะเป็นเกียร์ติแก่ตระกูลของเราจริงๆ ด้วยความนับถือ
ได้โปรดเข้าร่วมกับตระกู,ของข้าและสนับสนุนพวกเราในอนาคต จากนั้นเจ้าะสามารถพบกับข้า
ได้ทุกวันไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร นั้นเป็นเรื่องที่ดีนะสำหรับเจ้า ได้โปรดเข้าร่วมตระกูลของพวกเรา "
เสียงของ น่าหลานเฟิง ที่หยิ่งยโสและความมั่นใจในตัวเองกลับมาอีกครั้ง เธอฟื้นจากความรู้สึก
ก่อนหน้านี้ ใช้ความงดงามโดยธรรมชาติและเสน่ห์ของผู้หญิง เธอพยายามหว่านล้อมให้หลินเฟิง
ได้พบกับเธอทุกวัน ทั้งสองคนจะได้รับประโยชน์มากมายจากความสัมพันธ์ดังกล่าว นอกจากนี้
เธอยังสวยมากดังนั้นเธอจึงเชื่อว่าหลินเฟิงจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเธอแน่นอน
"ไปให้พ้น"
สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือหลินเฟิงไม่เพียงแต่ปฏิเสธข้อเสนอของน่าหลานเฟิงเท่านั้น แต่ยังได้แกว่ง
ดาบของเขาไปในทิศทางของน่าหลานเฟิง ซึ่งทำให้เขาดูเหี้ยมโหดในทันที
ตาดำของน่าหลานเฟิงเบิกกว้าง เธอปลดปล่อยจิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์ และเริ่มปล่อยหมัด
ศักดิ์สิทธิ์ของเธอกระหน่ำใส่ดาบของหลินเฟิง
แต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นดาบยาวนั้นไม่ขยับแม้แต่มิลเดียว จากนั้นเสียงคำรามดังสนั่นแผ่ซ่านไปทั่ว
ทั้งชั้นบรรยากาศอย่างบ้าคลั่งไม่มีที่สิ้นสุดด้วยพลังปราณได้ระเบิดมาจากด้านใน ดูน่าหวาดกลัวมาก
ความรู้สึกของ น่าหลานเฟิง เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เธอรีบหลบการโจมตีอย่างรวดเร็ว
ตู้มมม!!
หลินเฟิงเหวี่ยงมือซ้ายออกไปตามมาด้วยเสียงระเบิดที่ดังขึ้น หมัดนั้นกลายเป็นเงาทับซ้อนกัน แต่ละ
หมัดเงานั้นแข็งแกร่งกว่ามากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเขาจะสร้างหมัดที่ไม่มีที่สุด
หมัดเหล่านั้นกำลังพุ่งเข้าหา น่าหลานเฟิง ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
น่าหลานเฟิงคร่ำครวญ เธอกระเด็นถอยหลังไปอย่างไร้ทางสู้และอ่อนแรง เธอไถลไปด้านหลังเวทีต่อสู้
หลัก อีกเพียงก้าวเดียวข้างหลังเธอจะตกเวที
ในขณะนั้นฝูงชนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไป พวกเขาสับสนเป็นอย่างมาก หลินเฟิงทำให้พวก
เขาประหลาดใจมากเกินไปในตอนนี้
ทุกครั้งที่หลินเฟิงเคลื่อนไหวพวกเขาต้องพบกับความตกใจทุกครั้ง แต่พวกเขาตระหนักได้ว่าพวก
เขาประเมินหลินเฟิงต่ำเกินไป ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาก็ยังดู
ถูกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่ในขณะนี้หลินเฟิงก็ชนะน่าหลานเฟิงอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
พวกเขาจำได้ว่าพวกเขาคิดว่าไม่ น่าหลานเฟิง ก็ หลินเซียน จะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ และไม่เคยเห็น
ชายหนุ่มคนนี้ในสายตาพวกเขา พวกเขาคิดว่าน่าละอายและโง่เขลายิ่งนัก ถ้า ชู่วหยุนห่าว ไม่ได้
อยู่ที่นี่ หลินเฟิง น่าจะสมควรได้รับความเคารพให้เป็นปู่ของพวกเขาไปแล้ว !!
ฝูงชนไม่ได้เป็นพวกเดียวที่คิดแบบนั้น น่าหลานเฟิง และ หลินเซียน แต่โดยเฉพาะ น่าหลานเฟิง
คิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่มีโอกาสชนะ และไม่สนใจหลินเฟิง เมื่อทั้งสามคนอยู่ในเวทีการต่อสู้พร้อม
ที่จะสู้กันรอบสุดท้าย นางแทบลืมไปแล้วว่าหลินเฟิงยังอยู่ที่นั่น นางได้ดูถูกเขาเกินไปจริงๆ ในขณะ
นั้นยังตระหนักได้ว่าช่างไร้สาระมากแค่ไหน การประเมินหลินเฟิงต่ำเกินไป อาจทำให้ทั้งสองครตาย
ภายใต้ดาบของหลินเฟิง
"เจ้าแข็งแกร่งดีนี่... ได้โปรดช่วยฝึกฝนและพัฒนาทักษะการบ่มเพาะพลังของข้าได้ไหม ... "หลินเฟิง
กล่าวขณะมองไปที่ น่าหลานเฟิง ขณะที่เขาดูถูกเธออย่างหยาบคาย หลินเฟิงเต็มไปด้วยความขุ่น
เคืองและความโกรธเพราะพฤติกรรมของผู้หญิงที่หยิ่งยโส แต่สิ่งที่ทำให้หลินเฟิงเกลียดมากที่สุดคือ
ผู้หญิงคนนั้นไม่เคารพผู้คน ... แต่เธอต้องการให้คนอื่นเคารพเธอมิฉะนั้นจะส่งกองกำลังของเธอไป
โจมตีคนที่ไม่เคารพเธอในตอนกลางคืนโดยไม่ทันตั้งตัว หลินเฟิงไม่สามารถทนกับผู้หญิงที่ทั้งหยิ่ง
และอวดดีแบบนี้ได้
น่าหลานเฟิง รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก เมื่อเธอจำได้ว่าเธอพูดอะไรไป เธอรู้สึกว่าเธอช่างโง่เขลาจริงๆ
"เข้าร่วมตระกูลของเจ้า พบเจ้าทุกวัน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้าคิดว่าเป็นเจ้าคนเดียวที่อยู่จุดสูงสุด
ของโลกงั้นรึ เจ้าคิดว่าคนอื่นอยู่ต่ำกว่าเจ้า อะไรทำให้เจ้ามีสิทธิ์ที่จะคิดว่าข้าอยากพบเจ้าทุกวัน?
หลินเฟิงยังคงพูดและทำให้น่าหลานเฟิงเข้าใจว่า เธอช่างน่าขันและไม่มีสิทธิ์ที่จะอวดดี
น่าหลานเฟิงรู้สึกว่าใบหน้าเธอกำลังแดง เธอไม่สามารถลบล้างสิ่งที่หลินเฟิงได้กล่าวมาได้
ตอนนั้นน่าหลานเซียงกำลังมองไปที่พวกเขา เขาจ้องมองที่หลินเฟิงผู้เต็มไปด้วยความโกรธและการ
แสดงออกของเขาที่เย็นชา เขาได้ชนะน่าหลานเฟิงอย่างง่ายดาย ตวอหมิงดูเหมือนกับว่าเขากำลัง
จะฆ่าคนที่หยิ่งยโสอย่าง น่าหลานเฟิง ซึ่งเป็นสาวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลน่าหลาน และเป็น
อัจฉริยะที่แท้จริง
ฝูงชนไม่ได้ตื่นเต้นในช่วงเวลานี้ หลินเซียน, น่าหลานเฟิง, ตวอหมิง และ ชู่วหยุนห่าว ทั้งหมดเป็น
อัจฉริยะและทุกคนแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนอื่น ๆ
ไม่มีคนใดในพวกเขาที่จะทำให้ฝูงชนดูถูกความแข็งแกร่งได้ แต่บางคนก็แข็งแกร่งจนบ้าคลั่ง
เลือดของฝูงชนกำลังเดือดพล่านเต็มไปด้วยความตื่นเต้น อย่างเช่นเมื่อมองไปที่หลินเฟิง
เขาค่อยๆแสดงความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เขากำลังจะกลายเป็นคนบ้ามากขึ้นทุกที จน
ถึงขณะนี้ เขาไม่ได้มีแค่อารมณ์ที่รุนแรงและความโกรธ ยิ่งไปกว่านั้นความเหี้ยมโหดมีมาก
เท่าไหร่ ความตื่นเต้นของฝูงชนยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะ
สู้กับเขาอีกต่อไป เขาเป็นคนเลือดร้อนและไร้ความปราณี
"โอ้เจ้ายังอยู่ตรงนั่นสินะ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะสู้กับเจ้าเพื่อกันไม่ให้เจ้าแก้แค้น... แต่เจ้าคิดว่า
การพยายามดูถูกข้าทำให้ข้าขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคิดว่าเจ้าเองเป็นคนที่ดีที่สุดในโลก
เจ้าทำให้ตัวเองน่านับถือรึ ? "
หลินเฟิงหันกลับไปมอง ชู่วหยุนห่าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา "เจ้าบอกว่า น่าหล่นเฟิง
เป็นคนหยิ่งและทำตัวเองสูงเหนือคนอื่น ... เธอสามารถทำแบบนี้ได้เพราะเธออยู่ในเมืองเล็กๆ
และน่าสังเวชเหมือนเมืองหยางโจว ... แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าไม่ได้ทำในลักษณะเดียวกันรึ? อัจฉริยะ?
เรียกข้าว่าหมาน้อย และไก่อ่อน ... ตอนนี้ข้าอยากถามเจ้าว่าอะไรทำให้เจ้าเป็นอัจฉริยะ? "
หลินเฟิง กล่าวขณะเดิน เขาปล่อยจิตวิญญาณของเขาเป็นครั้งแรก
ทุกคนดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขาได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณของเขาอย่างน้อยครั้งนึง...
แต่หลินเฟิงไม่ได้ปล่อยจิตวิญญาณของเขาตลอดเวลา
ในสายตาของเขาทั้งโลกกลายเป็นความมืดมิด สายตาของ หลินเฟิง กลายเป็นสีดำสนิท เขา
ดูชั่วร้ายอย่างแท้จริง ดูเหมือนว่าเขามีหลุมดำสองหลุมแทนที่ดวงตาเขา เขาดูราวกับปีศาจ
ทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนเริ่มช้าลง ทุกๆการเคลื่อนไหวของทุกคนและใบหน้าของพวกเขา
หลินเฟิง สามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวในเวลาเดียวกัน และมันก็คมชัดราวกับว่าทุกสิ่ง
ทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าๆ ไม่มีอะไรที่สามารถหลบหนีจากสายตาของ หลินเฟิงได้ เขารู้ว่าทุก
คนกำลังทำอะไร ไม่ว่าในเวลาใดก็ตาม
เขายังได้ยินเสียงหัวใจของเขาเอง สามารถสัมผัสได้ถึงเลือดของตัวเองที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด
เขารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างที่ ชู่วหยุนห่าว กำลังทำอยู่รวมทั้งการหายใจ
หลินเฟิง ไม่สามารถพูดถึงช่วงเวลานั้นได้ ราวกับว่าเขาเป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจทุกอย่างราวกับว่า
เขาอยู่ในทุกช่วงเวลาในเวลาเดียวกัน ราวกับเขาสามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งในจักรวาลได้ใน
เวลาเดียวกัน ... แต่ตาไม่สามารถพูดได้
ผ่านหน้ากากสีเงินที่หลินเฟิงใส่ ชู่วหยุนห่าว สามารถมองเห็นสายตาของหลินเฟิงได้ เขาเริ่มสั่น
ด้วยความกลัวเขาไม่เคยรู้สึกกลัวมากเท่านี่ในชีวิตมาก่อน เขาไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่
เกิดอะไรขึ้นกับตาของหลินเฟิง? ทำไมมันถึงดูราวกับข้า กำลังจ้องไปในดวงตาแห่งความตาย?
ในขณะนั้น ชู่วหยุนห่าว รู้สึกสับสนและหวาดกลัว เขารู้สึกถึงความกลัวที่ทะลุเข้าไปในกระดูก
และสั่นสะท้านเหมือนถูกแช่แข็ง ข้าต้องหลอนไปเองแน่ๆ ไม่มีใครอยู่ข้างหน้าข้า
หลินเฟิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่ ชู่วหยุนห่าว ไม่สามารถรู้สึกถึงการปรากฏตัวของเขาเลย
มันเหมือนกับว่าเขาหลับตาลงและมองไม่เห็นผู้อื่น หรือรู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ใกล้เขา ราวกับว่าสถาน
ที่ ที่หลินเฟิง ยืนอยู่คือหลุมดำที่ดูดซับการปรากฏกายของตัวเอง
ตู้ม ตู้ม ตู้มม !!
ในขณะนั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงัน ทุกคนจ้องหลินเฟิงราวกับว่าเขาเป็นคนเดียว
ที่อยู่ในจักรวาล
ถึงแม้ว่าทุกก้าวของหลินเฟิงนั้นแทบไม่มีเสียงก็ตาม ทุกๆก้าวของเขาทำให้เกิดความรู้สึกที่น่า
สะพรึงกลัวในหัวใจของทุกคน ดูเหมือนว่าหัวใจของพวกนั้นกำลังพยายามจะระเบิดออกจาก
ทรวงอกของตัวเอง นี่เป็นความน่ากลัว นี่เป็นความสยองขวัญ มันเป็นสัญชาตญาณแรก ๆ
ของทุกคนที่อยากจะทำมีเพียงสิ่งเดียว ...................วิ่ง !!!
ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความโกรธ การเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของหลินเฟิง เข้าใกล้
ชู่วหยุนห่าว เต็มไปด้วยรอยน้ำแข็ง มากขึ้นและมากขึ้น ทุกย่างก้าว
หลินเฟิงกระเด็นลอยออกไปด้วยการโจมตีของฝ่ามือทองคำ น่าหลานเฟิง ได้รับความพ่ายแพ้
โดยการโจมตีที่คล้ายกันนี้ แล้วจะเกิดอะไรกับหลินเฟิงเล่า?
"จงหายไปซะ!" หลินเฟิงกล่าวอย่างจริงจัง แสงจากดาบของเขาส่องประกาย สายตาทุกคน
กำลังจ้องมอง ดาบที่ลุกโชนไปด้วยแสงและแขนทองคำทำให้เกิดภาพอันงดงามเมื่อเข้าปะทะ
กัน เสียงที่ปะทะดังคล้ายกับฆ้องดังไปทั่วชั้นบรรยากาศ
กายาทองคำของชู่วหยุนห่าวไม่เพียงแต่ทำให้การโจมตีออกไปรุนแรงเป็นอย่างมากเท่านั้น แต่ยัง
ผสานเสริมการป้องกันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ดูเหมือนว่าแม้กระทั่งหอกและดาบก็ไม่สามารถ
ผ่านเข้ามาได้ ดังนั้นดาบของหลินเฟิงจึงไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บแม้แต่น้อย
นั่นคือสิ่งที่ ชู่วหยุนห่าว พึ่งพาทักษะการป้องกันของเขา เขาเชื่อมั่นในการป้องกันเป็นอย่างมาก
พอๆกับความหยิ่งยโสที่เขาเชื่อว่าไม่มีใครสามารถทำอะไรเขาได้
"ฮ่า ๆ เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือเปล่า? ไอ้สุนัขตัวน้อย เจ้าเป็นแค่ขยะ เจ้าไม่สามารถทำให้ข้า
บาดเจ็บได้แม้แต่น้อย "ชู่วหยุนห่าว กล่าวเยาะเย้ยใส่ หลินเฟิง แสงสีทองส่องประกายอีกครั้ง
หลินเฟิงรับรู้ถึงแรงกดดันมหาศาลนั้นจากดาบของเขา ความแข็งแกร่งนั้นทำให้ดาบของเขา
สั่นสะเทือนจนเกือบหลุดจากมือเลยทีเดียว
"จริงเหรอ?" หลินเฟิงตอบอย่างไม่แยแส ถ้าดาบไม่ถูกนำมาใช้อย่างรวดเร็วก็ไม่อาจหยุดยั้งได้
มันสามารถทะลายป้อมปราการทั้งหมดได้ ผู้ใช้ดาบสามารถบดขยี้และทำลายล้างทุกสิ่งที่ขวาง
หน้า ไม่มีใครสามารถรอดชีวิตจากดาบที่พวกเขามองไม่เห็น
มีจิตวิญญาณของอาวุธมากมาย แต่จิตวิญญาณของดาบเป็นหนึ่งในจิตวิญญาณของอาวุธที่
แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดของการดำรงอยู่ แม้ว่าหลินเฟิง ไม่ได้มีจิตวิญญาณดาบ แต่ความรู้
ของเขาที่มีต่อดาบนั้นเหนือเกินกว่าผู้บ่มเพาะพลังที่มีจิตวิญญาณดาบ
"อำนาจดาบจงสำแดง" หลินเฟิงกระซิบ ดาบส่องแสงเป็นประกายสว่างจ้าเริ่มกินบรรยากาศ
โดยรอบ ปราณที่แข็งแกร่งอย่างมาก มีพลังอัดแน่นไปไหลรวมไปอยู่ที่ปลายดาบของเขา
ปลดปล่อยออกมาและสร้างเสียงระเบิดอย่างรุนแรง
ตู้มมม
ดาบของ หลินเฟิง ปะทะกับ จิตวิญญาณของ ชู่วหยุนห่าว อีกครั้ง เสียงเหมือนกับกระดาษกำ
ลังฉีกขาดแผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า การแสดงออกทางสีหน้าของ ชู่วหยุนห้าว เปลี่ยนไปทันที
เขาเป็นใครกันมีความแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ ต้องถอยหลังไปเพื่อหลีกเลี่ยงพลังอำนาจของ
ดาบนั้นเพราะไม่สามารถพึ่งพาการป้องกันของตัวเองได้
เมื่อ หลินเฟิง เห็นว่า ชู่วหยุนห่าว ถอยหลังไปเขาวางดาบไว้ที่ไหล่ของเขาและกล่าวขณะที่ยิ้ม
อย่างเย็นชา : "เจ้าบอกว่าข้าไม่สามารถทำให้เจ้าเจ็บได้ แล้วทำไมเจ้าถึงถอยหลังกลับไปเล่า?"
เมื่อ ชู่วหยุนห่าว ได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของเขาหงุดหงิดและจ้องมองไปที่ หลินเฟิง แล้ว
กล่าวว่า "ข้ายอมรับว่าข้าดูถูกเจ้าแต่ข้านั้นแข็งแกร่งกว่าเจ้าแล้วกัน เจ้ายังเป็นสุนัขตัวน้อย
มีแต่พวกไก่อ่อนที่ไม่สามารถทนต่อการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้ "
"เจ้าช่างพูดมากเสียจริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่นออกจากปากเจ้าก็เหมือนกับอุจจาระ(ขี้)
"หลินเฟิงกล่าวอย่างเหลืออด "ถ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์หมายถึงการเปิดปากกว้างและใช้ความโง่เขลา
ตัดสินคนอื่น ๆ เจ้าคิดว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริงนั้น มีพรสวรรค์ที่ไม่มี
ใครสามารถเทียบเคียงได้ "
"ไม่หวั่นเกรงสิ่งใด ตวอหมิง เผชิญกับอันตรายตลอดมา เขาไม่แม้แต่จะกลัวเลย "เมื่อฝูงชนเห็นว่า
หลินเฟิงทำให้ ชู่วหลานถึงกับถอยหลัง ฝูงชนถึงกับตื่นเต้น พวกเขานับถือ ตวอหมิง เป็นคนที่
ยอดเยี่ยม พวกเขาเคยคิดว่าหลินเฟิงมีความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาได้ประเมิน
หลินเฟิงต่ำเกินไป... แต่ในขณะนี้ฝูงชนคิดว่าเขาแข็งแกร่งกว่า น่าหลานเฟิงและหลินเซียน
น่าหลานเฟิง และ หลินเซียน กำลังดู หลินเฟิง และเริ่มคิดเกี่ยวกับเขามากขึ้น พวกเขาคิดว่า
ก่อนหน้านี้หลินเฟิงไม่ได้มีความแข็งแกร่ง แต่ในขณะนี้พวกเขาตระหนักได้ว่าพวกเขาช่างไร้สาระ
อันที่จริงแล้ว ตวอหมิงเป็นคนที่ต้องระมัดระวังมากที่สุด อยู่ในระดับที่สูงกว่าพวกเขาทั้งสองคน
"แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่เขายังเด็กมากและเขาก็เป็นอัจฉริยะที่แท้จริง เขาต้อง
มีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ถ้าเขาสามารถเข้าร่วมกับตระกูลน่าหลานได้ จะช่วยได้มาก
"น่าหลานเฟิง ตั้งความหวังไว้ว่า ตวอหมิง จะเข้าร่วมกับตระกูลของเธอ จากนั้นเธอก็เดินตรงไป
ยังหลินเฟิงและกล่าวว่า "ตวอหมิงข้ายอมรับว่าข้าดูถูกฝีมือเจ้าเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งของ
เจ้าตระกูลของข้า ตระกูลน่าหลาน จะเป็นเกียร์ติแก่ตระกูลของเราจริงๆ ด้วยความนับถือ
ได้โปรดเข้าร่วมกับตระกู,ของข้าและสนับสนุนพวกเราในอนาคต จากนั้นเจ้าะสามารถพบกับข้า
ได้ทุกวันไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร นั้นเป็นเรื่องที่ดีนะสำหรับเจ้า ได้โปรดเข้าร่วมตระกูลของพวกเรา "
เสียงของ น่าหลานเฟิง ที่หยิ่งยโสและความมั่นใจในตัวเองกลับมาอีกครั้ง เธอฟื้นจากความรู้สึก
ก่อนหน้านี้ ใช้ความงดงามโดยธรรมชาติและเสน่ห์ของผู้หญิง เธอพยายามหว่านล้อมให้หลินเฟิง
ได้พบกับเธอทุกวัน ทั้งสองคนจะได้รับประโยชน์มากมายจากความสัมพันธ์ดังกล่าว นอกจากนี้
เธอยังสวยมากดังนั้นเธอจึงเชื่อว่าหลินเฟิงจะไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเธอแน่นอน
"ไปให้พ้น"
สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็คือหลินเฟิงไม่เพียงแต่ปฏิเสธข้อเสนอของน่าหลานเฟิงเท่านั้น แต่ยังได้แกว่ง
ดาบของเขาไปในทิศทางของน่าหลานเฟิง ซึ่งทำให้เขาดูเหี้ยมโหดในทันที
ตาดำของน่าหลานเฟิงเบิกกว้าง เธอปลดปล่อยจิตวิญญาณแขนศักดิ์สิทธิ์ และเริ่มปล่อยหมัด
ศักดิ์สิทธิ์ของเธอกระหน่ำใส่ดาบของหลินเฟิง
แต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นดาบยาวนั้นไม่ขยับแม้แต่มิลเดียว จากนั้นเสียงคำรามดังสนั่นแผ่ซ่านไปทั่ว
ทั้งชั้นบรรยากาศอย่างบ้าคลั่งไม่มีที่สิ้นสุดด้วยพลังปราณได้ระเบิดมาจากด้านใน ดูน่าหวาดกลัวมาก
ความรู้สึกของ น่าหลานเฟิง เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เธอรีบหลบการโจมตีอย่างรวดเร็ว
ตู้มมม!!
หลินเฟิงเหวี่ยงมือซ้ายออกไปตามมาด้วยเสียงระเบิดที่ดังขึ้น หมัดนั้นกลายเป็นเงาทับซ้อนกัน แต่ละ
หมัดเงานั้นแข็งแกร่งกว่ามากขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าเขาจะสร้างหมัดที่ไม่มีที่สุด
หมัดเหล่านั้นกำลังพุ่งเข้าหา น่าหลานเฟิง ด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
น่าหลานเฟิงคร่ำครวญ เธอกระเด็นถอยหลังไปอย่างไร้ทางสู้และอ่อนแรง เธอไถลไปด้านหลังเวทีต่อสู้
หลัก อีกเพียงก้าวเดียวข้างหลังเธอจะตกเวที
ในขณะนั้นฝูงชนไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นอีกต่อไป พวกเขาสับสนเป็นอย่างมาก หลินเฟิงทำให้พวก
เขาประหลาดใจมากเกินไปในตอนนี้
ทุกครั้งที่หลินเฟิงเคลื่อนไหวพวกเขาต้องพบกับความตกใจทุกครั้ง แต่พวกเขาตระหนักได้ว่าพวก
เขาประเมินหลินเฟิงต่ำเกินไป ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาก็ยังดู
ถูกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่ในขณะนี้หลินเฟิงก็ชนะน่าหลานเฟิงอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
พวกเขาจำได้ว่าพวกเขาคิดว่าไม่ น่าหลานเฟิง ก็ หลินเซียน จะชนะการต่อสู้ครั้งนี้ และไม่เคยเห็น
ชายหนุ่มคนนี้ในสายตาพวกเขา พวกเขาคิดว่าน่าละอายและโง่เขลายิ่งนัก ถ้า ชู่วหยุนห่าว ไม่ได้
อยู่ที่นี่ หลินเฟิง น่าจะสมควรได้รับความเคารพให้เป็นปู่ของพวกเขาไปแล้ว !!
ฝูงชนไม่ได้เป็นพวกเดียวที่คิดแบบนั้น น่าหลานเฟิง และ หลินเซียน แต่โดยเฉพาะ น่าหลานเฟิง
คิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่มีโอกาสชนะ และไม่สนใจหลินเฟิง เมื่อทั้งสามคนอยู่ในเวทีการต่อสู้พร้อม
ที่จะสู้กันรอบสุดท้าย นางแทบลืมไปแล้วว่าหลินเฟิงยังอยู่ที่นั่น นางได้ดูถูกเขาเกินไปจริงๆ ในขณะ
นั้นยังตระหนักได้ว่าช่างไร้สาระมากแค่ไหน การประเมินหลินเฟิงต่ำเกินไป อาจทำให้ทั้งสองครตาย
ภายใต้ดาบของหลินเฟิง
"เจ้าแข็งแกร่งดีนี่... ได้โปรดช่วยฝึกฝนและพัฒนาทักษะการบ่มเพาะพลังของข้าได้ไหม ... "หลินเฟิง
กล่าวขณะมองไปที่ น่าหลานเฟิง ขณะที่เขาดูถูกเธออย่างหยาบคาย หลินเฟิงเต็มไปด้วยความขุ่น
เคืองและความโกรธเพราะพฤติกรรมของผู้หญิงที่หยิ่งยโส แต่สิ่งที่ทำให้หลินเฟิงเกลียดมากที่สุดคือ
ผู้หญิงคนนั้นไม่เคารพผู้คน ... แต่เธอต้องการให้คนอื่นเคารพเธอมิฉะนั้นจะส่งกองกำลังของเธอไป
โจมตีคนที่ไม่เคารพเธอในตอนกลางคืนโดยไม่ทันตั้งตัว หลินเฟิงไม่สามารถทนกับผู้หญิงที่ทั้งหยิ่ง
และอวดดีแบบนี้ได้
น่าหลานเฟิง รู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก เมื่อเธอจำได้ว่าเธอพูดอะไรไป เธอรู้สึกว่าเธอช่างโง่เขลาจริงๆ
"เข้าร่วมตระกูลของเจ้า พบเจ้าทุกวัน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้าคิดว่าเป็นเจ้าคนเดียวที่อยู่จุดสูงสุด
ของโลกงั้นรึ เจ้าคิดว่าคนอื่นอยู่ต่ำกว่าเจ้า อะไรทำให้เจ้ามีสิทธิ์ที่จะคิดว่าข้าอยากพบเจ้าทุกวัน?
หลินเฟิงยังคงพูดและทำให้น่าหลานเฟิงเข้าใจว่า เธอช่างน่าขันและไม่มีสิทธิ์ที่จะอวดดี
น่าหลานเฟิงรู้สึกว่าใบหน้าเธอกำลังแดง เธอไม่สามารถลบล้างสิ่งที่หลินเฟิงได้กล่าวมาได้
ตอนนั้นน่าหลานเซียงกำลังมองไปที่พวกเขา เขาจ้องมองที่หลินเฟิงผู้เต็มไปด้วยความโกรธและการ
แสดงออกของเขาที่เย็นชา เขาได้ชนะน่าหลานเฟิงอย่างง่ายดาย ตวอหมิงดูเหมือนกับว่าเขากำลัง
จะฆ่าคนที่หยิ่งยโสอย่าง น่าหลานเฟิง ซึ่งเป็นสาวกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลน่าหลาน และเป็น
อัจฉริยะที่แท้จริง
ฝูงชนไม่ได้ตื่นเต้นในช่วงเวลานี้ หลินเซียน, น่าหลานเฟิง, ตวอหมิง และ ชู่วหยุนห่าว ทั้งหมดเป็น
อัจฉริยะและทุกคนแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนอื่น ๆ
ไม่มีคนใดในพวกเขาที่จะทำให้ฝูงชนดูถูกความแข็งแกร่งได้ แต่บางคนก็แข็งแกร่งจนบ้าคลั่ง
เลือดของฝูงชนกำลังเดือดพล่านเต็มไปด้วยความตื่นเต้น อย่างเช่นเมื่อมองไปที่หลินเฟิง
เขาค่อยๆแสดงความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ เขากำลังจะกลายเป็นคนบ้ามากขึ้นทุกที จน
ถึงขณะนี้ เขาไม่ได้มีแค่อารมณ์ที่รุนแรงและความโกรธ ยิ่งไปกว่านั้นความเหี้ยมโหดมีมาก
เท่าไหร่ ความตื่นเต้นของฝูงชนยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเท่านั้น ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่จะ
สู้กับเขาอีกต่อไป เขาเป็นคนเลือดร้อนและไร้ความปราณี
"โอ้เจ้ายังอยู่ตรงนั่นสินะ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะสู้กับเจ้าเพื่อกันไม่ให้เจ้าแก้แค้น... แต่เจ้าคิดว่า
การพยายามดูถูกข้าทำให้ข้าขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และคิดว่าเจ้าเองเป็นคนที่ดีที่สุดในโลก
เจ้าทำให้ตัวเองน่านับถือรึ ? "
หลินเฟิงหันกลับไปมอง ชู่วหยุนห่าว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา "เจ้าบอกว่า น่าหล่นเฟิง
เป็นคนหยิ่งและทำตัวเองสูงเหนือคนอื่น ... เธอสามารถทำแบบนี้ได้เพราะเธออยู่ในเมืองเล็กๆ
และน่าสังเวชเหมือนเมืองหยางโจว ... แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าไม่ได้ทำในลักษณะเดียวกันรึ? อัจฉริยะ?
เรียกข้าว่าหมาน้อย และไก่อ่อน ... ตอนนี้ข้าอยากถามเจ้าว่าอะไรทำให้เจ้าเป็นอัจฉริยะ? "
หลินเฟิง กล่าวขณะเดิน เขาปล่อยจิตวิญญาณของเขาเป็นครั้งแรก
ทุกคนดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขาได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณของเขาอย่างน้อยครั้งนึง...
แต่หลินเฟิงไม่ได้ปล่อยจิตวิญญาณของเขาตลอดเวลา
ในสายตาของเขาทั้งโลกกลายเป็นความมืดมิด สายตาของ หลินเฟิง กลายเป็นสีดำสนิท เขา
ดูชั่วร้ายอย่างแท้จริง ดูเหมือนว่าเขามีหลุมดำสองหลุมแทนที่ดวงตาเขา เขาดูราวกับปีศาจ
ทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนเริ่มช้าลง ทุกๆการเคลื่อนไหวของทุกคนและใบหน้าของพวกเขา
หลินเฟิง สามารถมองเห็นทุกอย่างรอบตัวในเวลาเดียวกัน และมันก็คมชัดราวกับว่าทุกสิ่ง
ทุกอย่างเคลื่อนไหวช้าๆ ไม่มีอะไรที่สามารถหลบหนีจากสายตาของ หลินเฟิงได้ เขารู้ว่าทุก
คนกำลังทำอะไร ไม่ว่าในเวลาใดก็ตาม
เขายังได้ยินเสียงหัวใจของเขาเอง สามารถสัมผัสได้ถึงเลือดของตัวเองที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด
เขารู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวทุกอย่างที่ ชู่วหยุนห่าว กำลังทำอยู่รวมทั้งการหายใจ
หลินเฟิง ไม่สามารถพูดถึงช่วงเวลานั้นได้ ราวกับว่าเขาเป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจทุกอย่างราวกับว่า
เขาอยู่ในทุกช่วงเวลาในเวลาเดียวกัน ราวกับเขาสามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งในจักรวาลได้ใน
เวลาเดียวกัน ... แต่ตาไม่สามารถพูดได้
ผ่านหน้ากากสีเงินที่หลินเฟิงใส่ ชู่วหยุนห่าว สามารถมองเห็นสายตาของหลินเฟิงได้ เขาเริ่มสั่น
ด้วยความกลัวเขาไม่เคยรู้สึกกลัวมากเท่านี่ในชีวิตมาก่อน เขาไม่รู้ว่าเขากำลังมองอะไรอยู่
เกิดอะไรขึ้นกับตาของหลินเฟิง? ทำไมมันถึงดูราวกับข้า กำลังจ้องไปในดวงตาแห่งความตาย?
ในขณะนั้น ชู่วหยุนห่าว รู้สึกสับสนและหวาดกลัว เขารู้สึกถึงความกลัวที่ทะลุเข้าไปในกระดูก
และสั่นสะท้านเหมือนถูกแช่แข็ง ข้าต้องหลอนไปเองแน่ๆ ไม่มีใครอยู่ข้างหน้าข้า
หลินเฟิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่ ชู่วหยุนห่าว ไม่สามารถรู้สึกถึงการปรากฏตัวของเขาเลย
มันเหมือนกับว่าเขาหลับตาลงและมองไม่เห็นผู้อื่น หรือรู้สึกว่ามีคนอื่นอยู่ใกล้เขา ราวกับว่าสถาน
ที่ ที่หลินเฟิง ยืนอยู่คือหลุมดำที่ดูดซับการปรากฏกายของตัวเอง
ตู้ม ตู้ม ตู้มม !!
ในขณะนั้นบรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงัน ทุกคนจ้องหลินเฟิงราวกับว่าเขาเป็นคนเดียว
ที่อยู่ในจักรวาล
ถึงแม้ว่าทุกก้าวของหลินเฟิงนั้นแทบไม่มีเสียงก็ตาม ทุกๆก้าวของเขาทำให้เกิดความรู้สึกที่น่า
สะพรึงกลัวในหัวใจของทุกคน ดูเหมือนว่าหัวใจของพวกนั้นกำลังพยายามจะระเบิดออกจาก
ทรวงอกของตัวเอง นี่เป็นความน่ากลัว นี่เป็นความสยองขวัญ มันเป็นสัญชาตญาณแรก ๆ
ของทุกคนที่อยากจะทำมีเพียงสิ่งเดียว ...................วิ่ง !!!
ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความโกรธ การเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของหลินเฟิง เข้าใกล้
ชู่วหยุนห่าว เต็มไปด้วยรอยน้ำแข็ง มากขึ้นและมากขึ้น ทุกย่างก้าว
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------- อ่านจบแล้วรบกวนกดโฆษณาเพื่อนเป็นกำลังใจให้แอดด้วยนะครับ
ตามนี้ครับ >> http://cpmlink.net/_-IOAA
Cr.tuiimyk แปลเล่นๆครับ ไม่อยากรอนานๆ ถ้าตกหล่นแปลผิดยังไงก็ขอโทษด้วยนะครับ มือใหม่ครับ
อ่าน Eng ได้ที่ http://totallyinsanetranlation.com/peerless-martial-god-index/
ขอบคุนคับ
ตอบลบ