ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Translate

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Advice โปรแรงส่งท้ายปี ลดทั้งเว็บสูงสุด 20% 19-25 ธันวา 16

Peerless Martial God ตอนที่ 27




ตอนที่ 27 มั่นใจในตัวเอง








” บางคนในโลกนั้นมีความคิดที่ชั่วร้าย บางคนเสื่อมทราม หรือคนที่ไม่แม้จะใส่ใจในเส้นทางการบ่มเพาะ แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือความคิดที่สกปกและความผิดเพี้ยน ” หลิ่วเฟยคิดขณะมองไปที่หลินเฟิง

” ข้าอยากจะถาม เจ้าจะต้องมีกี่ชีวิตถึงจะทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้? ” นางถามด้วยความโกรธ

หลิ่วเฟยกล่าวขณะที่กระโจนขึ้นจากน้ำ เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำทำให้สามารถเห็นส่วนโค้งเว้าได้อย่างชัดเจน นางนั้นงดงามและดูบอบบางเหมือนกับหงส์ หากเป็นโลกของหลินเฟิงก่อนหน้านี้ ผู้คนจำนวนมากจะต้องบ้าคลั่งในตัวนางและอุทิศตัวเพื่อบูชานางอย่างแน่นอน

แต่ที่นี่ไม่ใช่โลกนั้น นี่ไม่ใช้หลินเฟิงคนเก่า หัวใจของเขาไม่ได้เป็นเช่นคนธรรมดาอีกต่อไป เมื่อจ้องมองไปที่หลิ่วเฟย เขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไร หัวใจของเขาไม่ไหวติงราวกับหินผา

” ข้าไม่คิดเลยว่านางจะเห็นข้าเป็นคนวิปริตและคิดว่าการกระทำของข้าจะเป็นการคุกคามนาง ” หลินเฟิงคิดแต่เขาก็ยังอยู่ในท่าทีสงบ ถ้าหลิ่วเฟยคิดว่าเขาเป็นคนลามกจกเปรต เขาจะให้บทเรียนกับนาง รอยยิ้มที่ชั่วร้ายค่อยๆผุดขึ้นบนใบหน้าของหลินเฟิงขณะที่จ้องมองไปยังหลิ่วเฟย

หลิ่วเฟยจ้องมองไปยังใบหน้าของหลินเฟิงที่ดูราวกับมีเจตนาชั่วร้าย มันทำให้นางไม่สามารถที่จะระงับความโกรธเอาไว้ได้ นางพร้อมที่จะยิงลูกศรให้ทะลุผ่านหัวใจของเขาในทันที

” เจ้ากำลังแส่หาเรื่อง มิฉะนั้นอย่าได้โทษว่าข้านั้นใจร้าย ”

เสียงลูกศรของนางตัดผ่านห้วงอากาศราวกับเสียงนกหวีด ลูกศรของนางรายล้อมไปด้วยประกายแสงและเกิดระเบิดเล็กๆเมื่อมันเข้าปะทะกับคลื่นพลังของหลินเฟิง

” นางแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากครั้งสุดท้ายที่เจอกัน ” หลินเฟิงคิด เขาใช้เก้าคลื่นทลายสวรรค์ป้องกันการโจมตีของหลิ่วเฟย แรงสั่นสะเทือนของคลื่นกระจายไปทั่วทั้งบริเวณ ลูกศรของนางกระเด็นปักลงไปที่พื้น
เก้าคลื่นทลายสวรรค์ของหลินเฟิงทรงพลังยิ่งกว่าแต่ก่อนมากนัก เขาได้ยกระดับทักษะนี้อย่างก้าวกระโดดผ่านการต่อสู้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะหยุดลูกศรของหลิ่วเฟยด้วยคาวมแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา เก้าคลื่นทลายสวรรค์มีพละกำลังมากกว่า 9,000 จิน

” ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ากล้ากลับมา แต่เจ้าคิดจริงๆหรือว่าด้วยความแข็งแกร่งเพียงเท่านี้จะสามารถทำอะไรข้าได้ ? “

หลิ่วเฟยปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งคันศรออกมา นางกำหนดเป้าหมายไว้ที่หลินเฟิง หลิ่วเฟยหยิบลูกศรออกมา และค่อยๆดึงสายธนูด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เสียงของสายธนูที่ผูกติดกับคันธนูดังไปทั่ว

” ไป “

ลูกศรที่นางปล่อยออกมาทั้งรวดเร็วและทรงพลังกว่าก่อนหน้านี้มาก

หลินเฟิงตะหวาดออกมาอย่างฉุนเฉียวขณะที่การต่อสู้นั้นยากลำบากกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ เขาเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยและใช้ทักษะเก้าคลื่นทลายสวรรค์ไปที่ลูกศรที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา พลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาน่ากลัวเป็นอย่างมาก

ลูกศรถูกต้านทานไว้โดยคลื่นพลังของหลินเฟิง แต่เพราะแรงกระแทกของลูกศรทำให้มือของหลินเฟิงรู้สึกชาเล็กน้อย ขณะที่ลูกศรถูกหยุดไว้โดยกำปั้นของเขามันแสดงให้เห็นว่าการโจมตีของเขามีพลังมากกว่าลูกศรเล็กน้อย

” หืมม? ” หลิ่วเฟยขมวดคิ้ว คนลามกเช่นเจ้ามีความก้าวหน้ามากในช่วงเวลาสั้นๆ
หลิ่วเฟยยิงลูกศรออกไปอีกครั้งซึ่งอาบไปด้วยจิตสังการอย่างชัดเจน

” เจ้าคิดว่ามีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นหรือที่สามารถโจมตีได้? ” หลินเฟิงกล่าวออกมาขณะยิ้มอย่างเย็นชา หลินเฟิงใช้ทักษะเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทราและพุ่งเข้าหาหลิ่วเฟยด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ขณะที่ลูกศรกำลังจะถึงตัวเขา มีประกายแสงปรากฏขึ้นที่ดาบของหลินเฟิง และผ่าลูกศรออกเป็น 2 ส่วน

หลิ่วเฟยจ้องมองด้วยความตกตะลึง หลินเฟิงก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเกินไป เขาผ่าลูกศรของนางกลางอากาศและยังเข้าใกล้นางด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ความเร็วในการเคลื่อนที่และการตัดผ่าลูกศรของนางนั้นรวดเร็วเกินไป นางไม่สามารถมองเห็นช่วงที่เขาลงดาบ จะเห็นได้เฉพาะตอนที่เขาผ่าลูกศรไปแล้วเท่านั้น

หลิ่วเฟยดูเหมือนจะก้าวถอยหลังไปอย่างรวดเร็วและรักษาระยะห่างระหว่างนางกับหลินเฟิงเอาไว้ จากนั้นจึงหยิบลูกศรอีก 3 ดอกขึ้นมา

” เมื่อลูกศรทั้ง 3 ถูกยิงออกไปพร้อมกัน มันจะมีพลังเกินกว่า 9,500 จิน แสดงให้ข้าเห็นหน่อยว่าเจ้าจะหยุดมันได้อย่างไร ” หลิ่วเฟยกล่าวกับตัวเองเบาๆ นางหายใจเข้าลึกๆ และยิงลูกศรทั้ง 3 ดอก พุ่งตรงไปที่หลินเฟิง

” กร๊าซซซซซซซซซซซซ ” หลินเฟิงชักดาบยาวของเขาออกมาพร้อมกับเสียงที่ดังราวกับฟ้าผ่าเมื่อเขากวัดแกว่งดาบ ลูกศรที่กำลังเข้ามาใกล้หลินเฟิงถูกต้านทานไว้อย่างสมบูรณ์โดยพลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาจากตัวดาบ

อัสนีคำรามรวมกับความเข้าใจในปราณแห่งดาบ เพียงดาบของหลินเฟิงอย่างเดียวก็แข็งแกร่งกว่าลูกศรแล้ว แต่เมื่อใช้ควบคู่กับปราณดาบทำให้เกิดพลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้น มันขัดขวางลูกธนูที่เข้ามาอย่างง่ายดายด้วยปราณดาบ

” เป็นไปได้ยังไง! ” หลิ่วเฟยจ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตกตะลึง ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนาง นางสามารถที่จะยิงลูกศรทั้ง 3 ดอกได้ในครั้งเดียว นั่นคือการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของนาง แต่ถ้าหากหลิ่วเฟยยิ่งลูกศรออกไป 5 ดอก มันจะมีพลังแค่ 9,000 จินเท่านั้น มันคือการเสียสละพลังของลูกศรแลกกับเพื่อเพิ่มจำนวนลูกศรสำหรับการโจมตีเป็นกลุ่ม ในการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 1 มันจะแสดงออกด้วยพลังโจมตีที่น้อยกว่าลูกศร 3 ดอกเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

แต่หลินเฟิงสามารถที่จะทำลายลูกศรทั้ง 3 ที่เข้าใกล้เขาได้

หลิ่วเฟยจ้องมองไปที่หลินเฟิงทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง นางมั่นใจว่ารักษาระยะห่างเหมือนกันการต่อสู้ครั้งแรก หลิ่วเฟยยิงลูกศรทั้ง 3 ไปที่หลินเฟิงอีกครั้ง

ซึ่งผลที่ได้ก็เหมือนกับครั้งแรก หลินเฟิงทำลายลูกศรทั้งหมดด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว

ก่อนที่หลิ่วเฟยจะทันได้ตั้งตัว ปลายดาบก็ได้มาจ่อที่คอหอยของนางแล้ว นางสับสนเป็นอย่างมาก นางจำได้ว่าเมื่อตอนที่เจอกับหลินเฟิงครั้งแรก เขาแทบจะไม่สามารถต้านทานลูกศรของนางได้แม้แต่ดอกเดียว ครั้งที่สองพวกเขาพบกันที่หุบเขาแห่งความป่าเถื่อน ดูเหมือนว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นและยังต้องการที่จะสังหารนาง และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สาม แต่ดูเหมือนว่านางไม่สามารถที่จะโจมตีเขาได้แม้แต่นิดเดียว

” เป็นไปได้ยังไง? ที่เขาจะก้าวหน้าได้รวดเร็วขนาดนี้? “

หลิ่วเฟย นางนั้นพึ่งพอใจกับความเร็วในการฝึกฝนของตัวเองและนางยังคิดว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่งเมื่อเทียบกับคนที่อยู่รอบตัวนาง นางขัดเกลาทักษะและบ่มเพาะพลังเป็นประจำทุกวัน การโจมตีของหลินเฟิงนั้นแข็งแกร่งเกินไปจนนางไม่สามารถที่จะป้องกันตัวเองได้ ทันใดนั้นดาบของหลินเฟิงก็หยุดลงก่อนที่จะเจาะเข้าไปในคอที่บอบบางของหลิ่วเฟย

ปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของหลินเฟิงมันให้ความรู้สึกราวกับว่าเขากำลังจ้องมองสิ่งไร้ค่า เมื่อหลิ่วเฟยเห็นใบหน้าของเขา ทั่วทั้งร่างของนางสั่นเทาด้วยความกลัว

” เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกับข้า? “

หลิ่วเฟยจ้องมองไปที่หลินเฟิง นางทำได้แค่ยอมรับชะตากรรม

หลินเฟิงจ้องมองไปที่ร่างอันเปียกโชกของหลิ่วเฟย ร่างกายของนางถูกแนบไปด้วยชุดที่เปียกน้ำทำให้เห็นส่วนโค้งเว้า นางสามารถที่จะทำให้ผู้คนมากมายถึงกับเสียสติด้วยความใคร่ … หลินเฟิงถอนหายใจ มันเต็มไปด้วยความรู้สึก นางมีความงดงามดั่งเทพธิดา แต่นางโหดร้ายและไร้ความปรานีมากเกินไป

หลินเฟิงจ้องไปที่ส่วนโค้งเว้าบนร่างหายของหลิ่วเฟยและเริ่มส่งเสียงครวญคราง

หลินเฟิงยิ้มออกมาอย่างไม่แยแสราวกับว่าเขาเห็นนางเป็นเพียงของเล่น ” อย่าประเมินตัวเองสูงไปนัก! ข้าไม่ได้สนใจคนอย่างเจ้า ไสหัวไปได้แล้ว ข้าต้องการที่จะฝึกที่นี่ ”

หลินเฟิงหยุดพูดและเก็บดาบของเขา โดยไม่หันกลับไปมอง เขามุ่งหน้าเข้าไปในถ้ำเพื่อเริ่มบ่มเพาะพลัง เขาต้องการที่จะฆ่าหลิ่วเฟย แต่ใบหน้าของนางแสดงให้เห็นว่านางนั้นเชื่ออย่างแท้จริงแล้วว่าหลินเฟิงนั้นเป็นตัววิปริต เขาไม่สามารถที่พิสูจน์ตัวเองโดยการสังหารนางได้ แต่ครั้งต่อไปเขาจะไม่ใจดีเช่นนี้อีก

หลิ่วเฟยรู้สึกทึ่งในขณะที่เฝ้ามองหลินเฟิง นางกัดริมฝีปากตัวเองจนมีเลือดไหลออกมา

หลิ่วเฟยอายุ 16 ปีและบรรลุถึงขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 นางสามารถที่จะใช้ธนูได้อย่างชำนาญร่วมกับจิตวิญญาณแห่งคันศร การโจมตีของนางนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก ภายในนิกายหยุนไห่ ไม่มีศิษย์ทั่วไปคนไหนกล้าที่จะเผชิญหน้ากับนาง นางมีความสามารถทางธรรมชาติที่แข็งแกร่งและชำนาญเทคนิคของนาง

นอกจากนี้นางยังมีใบหน้าที่งดงามมาก ทุกคนในนิกายหยุนไห่ตระหนักถึงตัวตนของนาง ในขณะที่หลายๆคนต้องการที่จะพิชิตใจนาง ไม่เว้นแม่แต่ศิษย์ภายใน ดังนั้นนางจึงคิดว่าหลินเฟิงก็คงเป็นเหมือนกับคนอื่นๆ ที่นางเคยเจอในอดีตเพราะความงดงามของนาง ทำไมเขาจะต้องถ่อมาที่นี่ในตอนที่นางกำลังฝึก จากนั้นนางก็ตระหนักได้ทันทีว่าตลอดมานางเพียงแค่หลงตัวเองก็เท่านั้น

วันนี้ ไม่เพียงหลินเฟิงจะทำให้นางเสื่อมเสียชื่อเสียงแต่ยังทำลายศักดิ์ศรีและความเชื่อมั่นของนางอีกด้วย

” อย่าได้ประเมินตัวเองสูงไปนัก! ” คำพูดของหลินเฟิงทั้งเย็นชา ดูหมิ่นและทำร้ายความรู้สึกของนางเป็นอย่างมาก

” ครั้งต่อไป ข้าจะแสดงให้เจ้าได้เห็น ” หลิ่วเฟยคิด อย่างไรก็ตามนางไม่ได้จากไปนางกระโดดลงไปในน้ำพุร้อนอีกครั้งและเริ่มฝึกฝนเทคนิคการหายใจใต้น้ำของนางต่อไป ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะยกระดับความสามารถและพัฒนาจิตวิญญาณแห่งคันศรอย่างรวดเร็ว

หลินเฟิงเข้าไปในถ้ำขนาดใหญ่

ข้างในถ้ำนั้นมีทั้งเตียงหินและเสื้อผ้าที่สะอาด เห็นได้ชัดว่าหลิ่วเฟยใช้สถานที่นี้ฝึกซ้อมเป็นประจำ

” ผู้หญิงคนนี้เลือกสถานที่ฝึกฝนได้ดีจริงๆ ” หลินเฟิงพอใจกับถ้ำแห่งนี้ ในประวัติศาสตร์ของนิกายหยุนไห่ ศิษย์ใหม่จะใช้สถานที่ฝึกฝนจากยุคก่อนๆ ถ้ำเหล่านี้ถูกสร้างโดยบรรพบุรุษของนิกาย ตลอดหลายชั่วอายุคนพวกเขาก็ยังคงใช้ถ้ำเหล่านี้ ถ้ำเหล่านี้นั้นไม่ได้เป็นของใคร ถ้าหากมีความแข็งแกร่งเพียงพอก็สามารถที่จะรักษาถ้ำเอาไว้ได้ บางครั้งจะมีคนมาขโมยของมีค่าหรือวัตถุดิบออกไปจากถ้ำ

หลินเฟิงนั่งลงบนเตียงหินและปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งความมืดของเขาออกมา ถ้าหากมีใครเข้ามา หลินเฟิงจะรู้ตัวในทันทีและจะซ่อนจิตวิญญาณของเขาไว้

หลินเฟิงเริ่มเข้าฌาน พลังปราณจากสวรรค์และปฐพีเริ่มที่จะซึมซับเข้ามาในร่างกายของเขาจากรอบด้าน หลินเฟิงรีบฝึกฝนอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปไม่นาน

พลังปราณจากทั้งสวรรค์และปฐพีเริ่มเคลื่อนไหวและกลายเป็นน้ำวน อ่อร่าสีขาวเปล่งประกายออกมาและถูกดูดเข้าไปในจุดตันเถียนของหลินเฟิง

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาพร้อมกับประกายแสงสุกสว่างออกมาจากม่านตาของเขา หลินเฟิงฉีกยิ้มไปจนถึงใบหู

” ข้าทะลวงผ่านขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 ได้แล้ว ตอนนี้ไม่มีใครที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่ข้าต้องกลัว ”

เมื่อตอนที่หลินเฟิงอยู่ขั้นที่ 8 ขอบเขตจิตวิญญาณเขาสามารถที่จะต่อกรกับบางคนที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณได้ แต่ในการต่อสู้จะทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ถ้าหากไม่หลบหนีจากการเผชิญหน้ากันอาจจะทำให้เขาถึงตายได้ ผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตจิตวิญญาณจะมีพละกำลังที่น่าทึ่งและเมื่อสามารถที่จะปลุกจิตวิญญาณของพวกเขาขึ้นมาได้ มันจะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งอย่างหน้าเหลือเชื่อ ลวี่เหลียงคนที่เขาสู้ด้วยในวันนั้นอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณและยังมีจิตวิญญาณของนกอินทรี แม้ว่าจิตวิญญาณของนกอินทรีจะโหดเหี้ยมและทรงพลัง แต่มันก็ยังไม่ได้ตื่นขึ้นมาอย่างเต็มที่ ในหมู่ศิษย์ที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณลวี่เหลียงนั้นอ่อนแออย่างน่าสมเพชเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ

แม้ว่าทุกคนจะมีโอกาสที่จะปลุกจิตวิญญาณของตัวเองให้ตื่นขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำได้ บางคนนั้นจะประสบพบเจอกับปัญหาในการปลุกจิตวิญญาณของตน หลินเฟิงเองก็ทราบถึงเรื่องนี้

” ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ายังเหลือเวลาอีกเท่าไร แต่ข้าควรที่จะต้องพัฒนาความแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ก่อนที่การประชุมประจำปีจะมาถึง ” หลินเฟิงไม่ได้บ่มเพาะพลังต่อเขายืนขึ้นและเดินออกจากถ้ำ เขาเห็นหลิ่วเฟย ในบ่อน้ำพุร้อนและนางก็มองเขาด้วยความโกรธเช่นเดียวกับที่นางมองเขาเมื่อตอนที่เจอกันครั้งแรก

หลิ่วเฟยจ้องมองไปที่หลินเฟิง นางรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนที่สู้กันที่บ่อน้ำพุร้อน แต่นางไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าเขาเปลี่ยนไปอย่างไร

” กี่วันแล้วนับตั้งแต่วันที่ข้าบ่มเพาะพลัง ? ” หลินเฟิงถามออกไปโดยไม่ได้สังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของหลิ่วเฟย

” 20 วัน ” หลิ่วเฟยกล่าวตอบอย่างเย็นชา

” นานขนาดนั้นเชียว? ” หลินเฟิงขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะนั่งสมาธินานขนาดนี้

” เกิดอะไรขึ้นในช่วง 20 วันที่ผ่านมา ? ” หลิ่วเฟยตะโกนออกไปเพราะไม่สามารถที่จะทนได้อีก

” ข้าเพิ่งจะทะลวงผ่านขั้นที่ 9 ขอบเขตพลังปราณ ” หลินเฟิงกล่าวตอบ หลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปในทันที

หลินเฟิงรีบออกจากหุบเขาและมุ่งหน้าไปยังการประชุมประจำปีในทันที มีเวลาไม่มากนักในการไปถึงที่นั้น ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปยังเมืองหยางโจว

หลิ่วเฟยรู้สึกมึนงง นางไม่สามารถที่จะอธิบายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้ และรู้สึกหมดแรง

เมื่อตอนที่หลินเฟิงยังอยู่ขั้นที่ 8 ขอบเขตพลังปราณ เขายังเอาชนะนางได้ง่ายๆ ก่อนหน้านี้หลิ่วเฟย นางคิดว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะที่มากไปด้วยพรสวรรค์ แต่แล้วเมื่อหลินเฟิงได้ก้าวเข้ามาในชีวิตของนางและเหยียบย่ำความภาคภูมิใจของนางโดยสมบูรณ์ เขาไม่ต้องการความงามของนางและยังก้าวข้ามตัวนางไปแล้ว แล้วจะยังเหลืออะไรที่จะให้ตัวนางภูมิใจได้อีก?









 เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/

ความคิดเห็น

Facebook