ตอนที่ 24 หัวใจอันกล้าแกร่ง
ม่อเสีย แทบจะไม่สามารถขยับตัวได้ภายใต้พลังของเงามืด ม่อเสียรู้สึกได้ถึงชายคนหนึ่งที่ทำให้เขาเป็นอัมพาตอยู่ภายใต้เงาดำ แต่ม่อเสียไม่สามารถตรวจจับว่าเขาอยู่ที่ไหน หรือเขาเป็นใคร ราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน
“มันเป็นเขาจริงๆหรือนี่” หนานกงหลิงไม่อยากจะเชื่อ และกล่าวด้วยสายตาที่เปล่งประกาย เขารู้สึกตะลึง เขาไม่อาจเชื่อได้ว่าคนที่ควบคุมเงาจะอยู่ภายในร่างของม่อเสีย ทันใดนั้นจู่ๆ เงาก็โผล่ออกมาจากแผ่นหลังของม่อเสีย
“ม่อเสียยยยยย” ม่อช่างหลาน ตะโกน เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสใหญ่ของนิกาย ทำให้เขาไม่อาจสั่นคลอนกับสิ่งที่เขาเห็นได้ ม่อเสียมีอายุถึง 60 ปี ทำให้เขามีความรู้เกี่ยวกับเคล็บลับการบ่มเพาะพลัง และรู้ประเภทของจิตวิญญาณมากมาย เขารู้ถึงต้นกำเนิดของเงา และเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้เป็นอย่างดี
“มันเป็นจิตวิญญาณเงา มันเป็นจิตวิญญาณที่ลึกลับมาก และเป็นประเภทที่อันตราย ว่ากันว่าถ้าผู้บ่มเพาะพลังที่มีจิตวิญญาณเงา และเมื่อจิตวิญญาญมันตื่นขึ้น ผู้บ่มเพาะพลังสามารถเจาะเข้าไปในร่างกายของคนอื่นๆได้ และสามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ จิตวิญญาณที่ทรงพลังสามารถทำให้คนที่ถูกสิงร่างหยุดหายใจได้ขณะที่อยู่ภายในร่าง มันบังคับให้พวกเขาหายใจไม่ออกโดยที่ไม่สามารถป้องกันตัวเองได้ ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของผู้บ่มเพาะพลังที่มีจิตวิญญาณเงา คือ เมื่อเขาอยู่ในร่างของผู้อื่น เขาจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เมื่อถูกโจมตี
ผู้บ่มเพาะที่มีจิตวิญญาณเงาสามารถทำให้ผู้บ่มเพาะพลังคนอื่นๆ เกิดความหวาดกลัวได้อย่างมาก ถ้าผู้ที่ครอบครองจิตวิญญาณเงาเป็นคนที่ชั่วร้าย และต้องการจะฆ่าใครสักคน มันง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะทำเช่นนั้น ไม่มีผู้ใดที่อยากจะท้าทายผู้ที่ครอบครองจิตวิญญาณเงาไม่ว่าเขาจะมีระดับการบ่มเพาะระดับไหนก็ตาม แน่นอนว่าม่อช่างหลาน ไม่อยากให้คนในตระกูลของเขาต้องถูกทำร้ายโดยผู้บ่มเพาะที่มีจิตวิญญาณเงา
ม่อเสียถอยหลังไม่กี่ก้าวพร้อมกับใบหน้าที่ซีดขาว เขาไม่สามารถทำอะไรได้ เขาตกใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา
“ทักทายสหายผู้บ่มเพาะพลัง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคือใคร หรือพวกเราจะช่วยเจ้าได้อย่างไร แต่เราจะพยายามช่วยเจ้า อะไรคือสิ่งที่นำเจ้ามาหาพวกเรา? ม่อช่างหลาน ถามเงาที่กำลังเคลื่อนที่อยู่บนพื้น เขาคิดว่าคนที่ควบคุมเงาจะอยู่ในที่เดียวกับเงา
“ดูแลนิกายของเจ้า โดยไม่ใช้ความแค้นส่วนตัวในการตัดสิน อย่าพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากผู้อื่นในนิกาย และสมาชิกของนิกายสามารถจับตาดูพวกเจ้าได้เช่นกัน” เสียงสะท้อนดังผ่านบรรยากาศอีกครั้งด้วยสายลมที่อ่อนโยน จากนั้นเงาก็ได้หายไปอย่างสมบูรณ์
“น่ากลัวยิ่งนัก” ฝูงชนทุกคนล้วนแต่ตกอยู่ในความหวาดกลัว ในตอนนั้นพวกเขา แม้แต่หายใจยังยากลำบาก ภายใต้แรงกดดันของกลิ่นอาย และจิตวิญญาณเงาอันน่ากลัว
“ชายผู้นั้นคือใครกัน? เหมือนว่าเขากำลังพูดกับประมุข” เหล่าฝูงชนพูดคุยกัน
“มันจะต้องเป็นใครบางคนในนิกายที่ปกป้องผลประโยชน์ของนิกายอย่างลับๆ นี่คือเหตุผลที่เขาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะพวกเรากำลังส่งตัวศิษย์ให้นิกายอื่น ผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายแปลกใจ และไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าในนิกายหยุนไห่ จะมีมังกรซ่อนอยู่”
หนานกงหลิงปรากฏรอยยิ้มบิดเบี้ยวบนใบหน้า เขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่า ร่างเงาคนนั้นคือใคร
เมื่อหนานกงหลิงนึกถึงสิ่งที่เขาทำ ทำให้เขารู้สึกผิด เขาคิดถึงข้อดี และข้อเสียของความเป็นไปได้ต่างๆ และตำแหน่งของเขา เขาได้ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของนิกาย แต่ในเวลานั้นเขากลับลืมเกียรติของนิกายไป เขาคำนึงถึงผลประโยชน์ และความสูญเสียมากเกินไป โดยไม่นึกถึงนิกาย
“ฉู่ จั่น เผิง วันนี้พอแค่นี้ ส่งความนับถือให้พ่อเจ้าด้วย” หนานกงหลิง กล่าวพร้อมกับมองไปที่ฉู่ จั่น เผิง
วันนี้พอแค่นี้? หลินเชียนตกตะลึง นางจะปล่อยหลินเฟิงไปได้อย่างไร?
“ศิษย์พี่ ได้โปรด…” หลินเชียนกล่าวด้วยเสียงเบาๆ แสดงถึงความกระวนกระวาย ฉู่ จั่น เผิง ยิ้ม และกล่าว: “ท่านประมุขหนานกงหลิง ข้ามาที่นิกายหยุนไห่แห่งนี้ เพราะข้าได้ยินมาว่าภายในนิกายของท่านมีผู้บ่มเพาะที่พลังอัจฉริยะ และเก่งกาจหลายคน ข้าคาดหวังอย่างมากว่าจะได้พบพวกเขา แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครในบรรดาศิษย์ของนิกายที่อยากจะฝึกฝนกับข้า พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนวรยุทธ์กับข้าได้ และสามารถแลกเปลี่ยนคำชี้แนะซึ่งกันและกันได้ ”
แม้ว่าคำพูดของฉู่ จั่น เผิง จะดูสุภาพ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการพูดแบบนั้นออกไป เขาต้องการยั่วยุให้นิกายต่อสู้และเสียหน้า
หลินเฟิงเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์ เขารู้เหตุผลว่าทำไมหลินเชียน และชายที่ดูชั่วร้ายมาที่นิกายหยุนไห่แห่งนี้
“ท่านฉู่ จั่น เผิง ชื่อเสียงของท่านดังขจรไปทั่วอาณาจักร ทุกๆคนรู้จักชื่อเสียงของท่าน ศิษย์นิกายหยุนไห่ของเราต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อประมือกับท่าน และถ้ามีใครสามารถที่จะปะมือกับท่านได้ ข้ายินดีที่จะแจ้งให้ท่านทราบ และท่านสามารถกลับมาใหม่ในตอนนั้นได้”
“ท่านประมุขหนานกงหลิง..…”
“บรรดาศิษย์ของนิกายห้าวเย่ว ดูเหมือนจะมีไม่มีควาามเคารพนับถือผู้อื่นเลยสินะ? และดูเหมือนว่าท่านอยากจะให้ข้าพูดซ้ำอีกครั้ง?” หนานกงหลิงกล่าว น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น หนานกงหลิงได้พูดเป็นนัย 2 อย่าง และเขาต้องการให้พวกมันทั้งสองออกไป เขาได้ทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อที่เขาจะไม่เสียหน้า
บางทีฉู่ จั่น เผิงจะมีทักษะ และความสามารถโดยธรรมชาติ ทำให้เขารู้สึกภูมิใจมาก และต้องการทำให้ประมุขของนิกายหยุนไห่เสียหน้า นิกายห้าวเย่วนั่นแข็งแกร่งกว่านิกายหยุนไห่มาก แต่หนานกงหลิงมีอายุมากกว่า และแข็งแกร่งกว่าฉู่ จั่น เผิง แล้วฉู่ จั่น เผิงจะกล้าทำให้ประมุขของนิกายหยุนไห่เสียหน้าภายในอาณาเขตของพวกเขาได้อย่างไร?
ฉู่ จั่น เผิง ดูเคร่งเครียดมาก ในขณะที่เขาพยายามบังคับคำพูดพวกนี้ออกมาจากปากของเขา และพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า: “ก็ได้ ข้าจะไปจากที่นี่”
ฉู่ จั่น เผิงปลดปล่อยจิตวิญญาณนกยักษ์ในตำนานออกมาและบินจากไป ทำให้เกิดลมพายุขึ้นมาเบื้องหลังเขา ฉู่ จั่น เผิงจับตัวหลินเชียน ขณะที่ทั้งคู่กำลังขี่จิตวิญญาณนกยักษ์ในตำนาน ลมที่จิตวิญญาณนกยักษ์สร้างขึ้นมันแข็งแกร่งมาก ทำให้ผู้คนจำนวนมากล้มลงไปกับพื้น
“ข้า ชื่อ ฉู่ จั่น เผิง จงจดจำชื่อข้า” นกยักษ์ในตำนานบินขึ้นสูงไปในท้องฟ้า บรรดาผู้ที่ล้มลงได้ลุกขึ้นยืน เหล่าผู้คนในฝูงชนรู้สึกหดหู่ที่ ฉู่ จั่น เผิง ดูถูกพวกเขา และนิกายของพวกเขา
“หลินเฟิง ในระหว่างการประชุมประจำปี ข้าจะฆ่าเจ้า! เว้นเสียแต่เจ้าจะหลบซ่อนตัวอยู่ในนิกายหยุนไห่ตลอดไป” หลินเชียน กล่าว
หลินเฟิงมองไปที่นกยักษ์ที่กำลังบินอยู่ หลินเฟิงปรากฏรอยยิ้มอันเยือกเย็นภายในใจ ข้าจำเป็นที่จะต้องหลบซ่อนอยู่ภายในนิกายหยุนไห่หรือ?
หนานกงหลิง มองไปที่ฝูงชนที่อยู่บนพื้น เขาเสียหน้า แต่ฉู่ จั่น เผิงเป็นคนที่หยิ่งเกินไป และไม่มีใครในนิกายสามารถปะมือกับเขาได้อย่างเท่าเทียม
“ภายใน 5 ปี ข้าหวังว่าจะมีใครสักคนในนิกายหยุนไห่จะสามารถบ่มเพาะพลังจนถึงระดับเดียวกันกับฉู่ จั่น เผิง” หนานกงหลิง กล่าว แม้ว่าฉู่ จั่น เผิงจะเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหิมะจันทรา และนิกายหยุนไห่ก็ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรหิมะจันทรา จะมีพลังอำนาจมากมายขนาดไหน แต่พวกเขาสามารถรู้ได้ถึงการบ่มเพาะพลังอันน่าทึ่งของฉู่ จั่น เผิง ได้
“วันนี้จบแล้ว พวกเจ้าทุกคนกลับไปซะ” หนานกงหลิงโบกมือ บอกให้ฝูงชนแยกย้าย และกลับไปฝึกฝนต่อ
ม่อเสียไม่ขยับ เขามองไปที่หลินเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง แน่นอนหลินเฟิงจะจดจับผู้อาวุโสม่อไว้ และจะต้องกลับมาแก้แค้น
“ข้าบอกว่าวันนี้มันจบแล้ว” หนานกงหลิง ตะโกนใส่ ม่อเสียที่ยังคงจ้องมองหลินเฟิง เสียงของหนานกงหลิงทำให้ม่อเสียงสั่นเทา จากนั้นม่อเสียก็ขยับ และเดินตามหนานกงหลิงไป
“ข้าจะต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น” หลินเฟิงพูดกับตัวเอง ตอนนี้เขาอ่อนแอมาก มันเป็นหนทางที่ยาวไกลมาก กว่าเขาจะมีระดับการบ่มเพาะพลังเทียบเท่ากับม่อเสีย
หลินเฟิงกำลังจะออกไปจากที่นี่ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ถ้าเจ้าต้องการให้คนอื่นเคารพ นับถือเจ้า เจ้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสยบด้วยพลัง และความแข็งแกร่งของเจ้า มิฉะนั้นเจ้าก็จะยังคงมีตัวตนที่ต่ำต้อย แม้แต่ตอนที่เจ้าตาย ก็จะไม่มีผู้ใดสนใจเจ้า”
หลินเฟิงหยุดเดิน คำพูดพวกนี้เป็นของ หนานกงหลิง หลินเฟิงเคยได้ยิน และฝังลึกเข้าไปในใจ
“แน่นอนข้ารู้” หลินเฟิงกล่าว มันทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างในใจของเขา หลินเฟิงกำลังเดินอยู่บนเส้นทางของเขา เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น
หลินเฟิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ในถ้ำภายในภูเขา พลังปราณของสวรรค์ และโลก กลายเป็นแสงสีขาวเข้าไปในร่างกายของหลินเฟิง และเสริมสร้างกระดูกเขา พร้อมกับทำให้กล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
บ่มเพาะพลัง และฝึกฝน หลินเฟิงฝึกฝนอย่างหนักหน่วง คนอื่นๆสามารถเห็นความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของหลินเฟิงได้อย่างชัดเจน ราวกับการก้าวกระโดด พลังปราณสวรรค์ และโลกได้ทำให้โลหิตของหลินเฟิงบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น และทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้น พลังปราณที่ไหลเข้าไปในตัวของหลินเฟิงถูกดูดซึมอย่างสมบูรณ์ โดยไม่สูญเปล่าแม้แต่น้อย
ขอบเขตพลังปราณ เป็นขอบเขตแรกของการบ่มเพาะพลัง ขอบเขตนี้เป็นขอบเขตพื้นฐานของผู้บ่มเพาะพลัง มันทำให้พลังปราณของผู้บ่มเพาะพลังแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น การที่จะแข็งแกร่งขึ้นนั้นมีเพียงอย่างเดียวคือต้องฝึกฝนให้หนักกว่าผู้อื่น
หลินเฟิงกระตือรือร้นที่จะปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขา เขาต้องการที่จะแข็งแกร่งกว่าใครๆ เขากระตือรือร้นที่จะทะลวงผ่านขอบเขตจิตวิญญาณ เพียงแค่นี้เขาก็สามารถที่จะกลายเป็นศิษย์ภายในได้ ทุกๆจะต้องถูกบังคับให้เคารพในพลังอำนาจของเขา
ถ้าหลินเฟิงสามารถทะลวงผ่านไปยังขอบเขตจิตวิญญาณได้ จิตวิญญาณของเขาก็จะตื่นขึ้น ด้วยจิตวิญญาณ และความรู้ความเชี่ยวชาญของเขา เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน
เหมือนกับฉู่ จั่น เผิง และหลินเชียน จิตวิญญาณของพวกเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว ทำให้ฉู่ จั่น เผิง สามารถบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ และสามารถขนคนขึ้นไปบนหลังของจิตวิญญาณของเขาได้ และหลินเชียนสามาถควบคุมน้ำแข็งและไฟได้ โดยใช้จิตวิญญาณของนาง
หลินเฟิงเชื่อว่าหากความแข็งแกร่ง และพลังของเขาเพิ่มขึ้น จิตวิญญาณของเขาก็จะตื่นขึ้น ด้วยจิตวิญญาณของเขา เขาสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาได้
ดังนั้น เมื่อหานหมานฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้อย่างสมบูรณ์ หลินเฟิงจะได้ปิดด่านฝึกฝนภายใน 1 ใน 8 ภูเขา และหวังว่าจะทะลวงขอบเขตจิตวิญญาณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลินเฟิงเข้าใจว่าเขาจำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งขึ้น หรือจะต้องมีตัวตนที่ต่ำต้อยต่อไปในโลกใบนี้
เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น