ตอนที่ 23 ร่างเงาที่หน้ากลัว
โหวชิ่งใช้มืออีกข้างหนึ่งกุมบาดแผลเอาไว้ เลือดไหลรินลงมาที่พื้นกลายเป็นแอ่งเลือด เขาดูน่ากลัวเป็นอย่างมากกลับกลายเป็นเขาเองที่ต้องสูญเสียแขนไป ฉากที่เกิดขึ้นมันน่าตื่นตกใจเกิดกว่าที่จะทำใจเชื่อได้
” เจ้าเพียงแค่โชคดีเท่านั้น! ถ้าเจ้าไม่โชคดีเช่นนี้ล่ะก็… ” โหวชิ่งกล่าวขณะที่จ้องมองหลินเฟิงอย่างเครียดแค้น เขาไม่เชื่อว่าคนอย่างหลินเฟิงจะทำร้ายเขาได้และคิดอยู่เสมอว่าหลินเฟิงนั้นเป็นตัวตนที่แสนจะอ่อนแอ สิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นเพราะหลินเฟิงสุ่มฟันดาบออกไป เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าโหวชิ่งอยู่ที่ไหน? หลินเฟิงเพียงแค่โชคดีและสามารถตัดแขนโหวชิ่งด้วยความบังเอิญ โหวชิ่งไม่ได้เป็นคนเดียวที่คิดเช่นนั้น มีศิษย์ทั่วไปอีกหลายคนต่างมีความคิดเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่สามารถที่จะเชื่อได้ว่าหลินเฟิงสามารถที่จะมองเห็นการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงของโหวชิ่งและลงดาบได้อย่างแม่นยำ
” ข้านี่ช่างโชคดีเสียจริง ” หลินเฟิงประหลาดใจและยิ้มกลับไป เขานี่ช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้ทุบตีโหวชิ่ง
” ครั้งต่อไป มันจะไม่ง่ายสำหรับเจ้าและข้าจะทำให้เจ้าไม่มีโอกาสแม้แต่ตอบโต้! ” โหวชิ่งก้าวเดินอย่างต่อเนื่อง เขาเดินผ่านหลินเฟิงและเหล่าศิษย์ แขนที่ถูกตัดไม่ใช่บาดแผลที่จะรักษาได้โดยไม่พึ่งการรักษาทางการแพทย์ บาดแผลของเขาจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะต้องตายเพราะสูญเสียเลือดมากไป
” ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่โง่เขลาพอที่จะท้าทายข้าใน ‘ครั้งต่อไป’ ” หลินเฟิงกล่าวอย่างไม่แยแส และส่ายหัว โหวชิ่งยังไม่สามารถที่จะยอมรับความจริงที่ตัวเองนั้นได้พ่ายแพ้และยังคิดว่าชัยชนะของหลินเฟิงเป็นเพียงความโชคดี เขาจะต้องกลับมาแก้แค้น แต่หารู้ไม่ว่ามันเป็นเพียงการสูญเสียแขนไปอีกข้างก็เท่านั้น
” เจ้ากล้าที่จะทำร้ายศิษย์ผู้ที่รักษาความยุติธรรมของนิกาย เมื่อกฎที่ตั้งขึ้นมาไม่ได้รับความเคารพ เห็นได้ชัดว่านิกายนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาของเจ้าเลยแม้แต่น้อย! ” ม่อเสียกล่าวโทษหลินเฟิงอีกครั้ง
ในขณะที่ยิ้มหลินเฟิงกล่าวกับม่อเสีย ” มันยากที่จะลบล้างการเสียชื่อเสียงเมื่อถูกใส่ร้าย ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ท่านกำลังจะบอกให้ข้านั้นปล่อยให้มันมาตัดแขนของข้า จากนั้นข้าก็จะถูกขับไล่ออกจากนิกาย ทั้งที่ข้ายังคงมีนิกายอยู่ในหัวใจเสมอ ท่านไม่คิดว่าการวิเคราะห์ของท่านนั้นไร้สาระและน่าขบขันบ้างหรือ ผู้อาวุโส? “
หลินเฟิงกำลังกระตุ้นผู้อาวุโสม่อ พวกมันต้องการที่จะตัดแขนของเขาและขับไล่เขาออกจากนิกายโดยอ้างถึงกฎระเบียบต่างๆ หลินเฟิงชื่นชมม่อเสียที่สามารถพูดสิ่งที่โง่เขลาได้ด้วยใบหน้าที่ซื่อตรง
” ท่านประมุข ให้ข้าได้กล่าวอะไรบางอย่างได้หรือไม่? ” หลินเฟิงได้กล่าวถามโดยเมินเฉยต่อม่อเสียอย่างสมบูรณ์ ถ้ามีใครบางคนที่มีอำนาจในการตัดสนใจเรื่องนี้คนผู้นั้นสมควรจะเป็น หนานกงหลิง
หนานกงหลิงแสดงออกถึงใบหน้าที่ไม่อาจจะช่วยเหลืออะไรได้แต่เขากลับให้ความสนใจศิษย์ผู้เยาว์คนนี้ เขาให้ความสนใจในการกระทำของหลินเฟิงเป็นอย่างมาก หลินเฟิงไม่ได้กล่าวอะไรที่ไร้สาระและไม่เลือกที่จะยอมแพ้ ไม่หยิ่งยโสแต่ก็ไม่อ่อนน้อมจนเกินไป หลินเฟิงยังคงดูสงบแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย นั่นเป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะพลังที่ดีควรจะเป็น
” เจ้าสามารถที่จะกล่าวได้ ” หนานกงหลิงพยักหน้า
” ท่านประมุข ที่ข้าได้มาที่นี่นั้นเป็นเพราะผู้อาวุโสต้องการที่จะพบข้า แต่เมื่อข้าได้มาถึงผู้อาวุโสได้กล่าวโทษข้าต่างๆนาๆ ว่าข้านั้นทำให้นิกายนั้นเสียชื่อเสียงและทำให้นิกายนั้นต้องเสียหน้า เขากล่าวหาว่าข้าเป็นที่อับอายของนิกายและเศษขยะ แต่เมื่อข้าต้องการที่จะอธิบายเพื่อปกป้องตนเองเขากลับกล่าวว่าข้านั้นได้โต้เถียงเขา เพียงแค่เพราะข้าต้องการที่จะปกป้องความบริสุทธิ์ของข้าไว้ เขาถึงขั้นจะตัดแขนของข้า ข้า หลินเฟิง ต้องการที่จะถาม ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสม่อ ผู้ที่ได้ตัดสินใจทำตามความคิดตน มีความผิดในการนำความอัปยศมาสู่นิกายและทำให้เสียหน้า ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสซึ่งมีหน้าที่ควบคุมกฎระเบียบ เขาถือเป็นตัวแทนของนิกายในการให้ความยุติธรรม แทนที่จะสนับสนุนให้เกิดความลำเอียงหรือไม่? “
คำพูดที่คมชัดและเจาะจงของหลินเฟิงทำให้เหล่าผู้ชมตื่นตะลึงและตอนนี้พวกเขาก็เชื่อแล้วว่าหลินเฟิงนั้นเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ
” สามหาวสิ้นดี! ” พลังปราณที่แข็งแกร่งห้อมล้อมตัวหลินเฟิงไว้ ม่อเสียเกลียดหลินเฟิงเข้ากระดูก เขาต้องการที่จะหยุดหลินเฟิงก่อนที่จะเสียหน้าไปมากกว่านี้
” เปล่าเลย ข้านั้นไม่ได้สามหาว นิกายต้องการที่จะทอดทิ้งและขับไล่ข้าด้วยข้อหาที่ไม่มีแม้แต่หลักฐาน มันถูกต้องแล้วหรือไม่? ข้าอยากจะให้ท่านผู้อาวุโสบอกมาว่าใครเป็นผู้ที่บอกว่าข้ากระทำให้สิ่งที่ท่านกล่าวอ้างมา? ” หลินเฟิงยิ้มและกล่าวอย่างสงบ เขาไม่กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับม่อเสีย
” เจ้ามันไอ้ขยะ! เจ้าทำร้ายคนในตระกูล และสร้างความอับอายให้แก่ผู้อาวุโสของเจ้า เจ้าไม่กล้าที่จะยอมรับมันเช่นนั้นหรือ? ” หลินเชียนกล่าวอย่างเย็นชา
” อ่าา อย่างนี้นี่เอง … ข้าเข้าใจแล้ว” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม ” ดูเหมือนว่าความผิดที่ผู้อาวุโสม่อได้กล่าวหาข้าจะมาจากนาง ลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็นคนกล่าวออกมาเช่นนั้นใช่หรือไม่? “
” ใช่ แล้วจะทำไม? ” เขากล่าวออกมาด้วยความเกลียดชังที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
” ฮ่าๆๆ ตั้งแต่ที่ท่านยอมรับมัน ผู้อาวุโสม่อ ข้าต้องการที่จะถามท่านต่อหน้าท่านประมุข ท่านเชื่อเรื่องราวต่างๆจากนางที่กล่าวหาว่าข้านั้นเป็นอาชญากร ตกลงว่าท่านนั้นเป็นผู้อาวุโสของนิหายหยุนไห่หรือนิหายห้าวเย่วกันแน่? “
” กล้าดียังไง! เจ้ากล้าที่จะสร้างความอับอายให้กับข้าที่เป็นผู้อาวุโสของนิกาย ข้าจะทำลายการบ่มเพาะของเจ้าเสียตอนนี้ มันไม่มีที่ว่างให้เจ้าพูดจาไร้สาระอีกต่อไป ” ความอดทนของม่อเสียได้หมดลง สิ่งที่หลินเฟิงกล่าวออกมาทำให้ชื่อเสียงและฐานะที่เป็นผู้อาวุโสของเขานั้นพังยับเยิน
” ทุกคนในที่นี้ทราบเป็นอย่างดีว่าอะไรถูกอะไรผิด เพียงแค่ข้าไม่ใช่ศิษย์ภายในของนิกายมันทำให้ข้าไม่สามารถที่จะปกป้องตัวเองได้ เฉพาะคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับความเคารพ ถ้าท่านต้องการที่จะทำให้ข้ากลายเป็นคนพิการโดยการทำลายการบ่มเพาะของข้า จงรีบทำเสีย อย่าได้กล่าววาจาไร้สาระอยู่เลย ” ขณะที่หลินเฟิงกล่าว เขาไม่ได้หยุดที่จะจ้องมองไปที่หนานกงหลิง
ถ้าหากว่าหนานกงหลิงปกป้องเขาจากการโจมตีของม่อเสีย เขาจะยังคงถือว่าตัวเองเป็นศิษย์ของนิกายหยุนไห่ถึงแม้ว่าจะถูกขับไล่ก็ตาม อย่างไรก็ตามหากหนานกงหลิงปล่อยให้ม่อเสียทำร้ายเขา เขาจะรับบอกถึงเรื่องหน้าผาจ้านกู้ในทันที จากนั้นในชวงที่กำลังสับสน หลินเฟิงจะหลบหนีออกไปทันทีเพราะมันจะเป็นอันตรายต่อตัวเองและเขาก็ไม่อยากที่จะเป็นศิษย์ของนิกายหยุนไห่อีกต่อไป ในเมื่อนิกายไม่ต้องการเขา แล้วเขาจะต้องการนิกายไปทำไม?
หนานกงหลิงได้พิจารณาทุกอย่างด้วยความรอบคอบ ม่อเสียกำลังขยับเข้าไปใกล้และเตรียมที่จะจู่โจมหลินเฟิง
หนานกงหลิงให้ความสนใจกับการแสดงออกทางสีหน้าของหลินเฟิง เขาจ้องเข้าไปในตาที่สงบเงียบของหลินเฟิง
” เจตจำนงและความมุ่งมั่นของหลินเฟิงนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขายังคงสงบแม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่เป็นอันตราย นอกจากนี้ความสามารถตามธรรมชาติของเขาก็ยังถือว่าดี เขาจะสามารถเข้าร่วมกับศิษย์ภายในได้ในไม่กี่ปี เขาอาจจะกลายเป็นบุคคลสำคัญของนิกายและวันหนึ่งนิกายอาจจะต้องการความสามารถของคนเช่นเขา “
“ม่อเสียเป็นผู้อาวุโสที่น่านับถือ ความสำเร็จบนเส้นทางการบ่มเพาะนั้นไม่สำคัญนัก พรสวรรค์และความมุมานะนั้นมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาตัวเขา เขาสามารถที่จะปีนป่ายและไต่เต้าขึ้นไปได้ในอนาคต แม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเป็นความผิดพลาดของม่อเสีย แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้อาวุโสและยังเป็นลูกชายของม่อช่างหลาน”
หนานกงหลิงกำลังพิจารณาทุกอย่างที่เกิดขึ้นและคำนวณทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว เขาเป็นถึงประมุขของนิกาย สิ่งที่เป็นปัญหานั้นก็คือเขาเป็นจำเป็นที่จะต้องแยกแยะสิ่งต่างๆออก และเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของการกระทำ ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อนิกายและละบางอย่างที่ไร้ประโยชน์ นี่คือหลักความเข้าใจง่ายๆของเหล่าประมุขทุกคน
แน่นอนเขารู้ว่าม่อเสียได้ทำผิดในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ปัญหาก็คือถ้าเขาหยุดม่อเสียมันจะกลายเป็นการทำให้ม่อเสียต้องเสียหน้า นอกจากนี้เขายังไม่มีทางเลือกและยังต้องคำนึงถึงม่อช่างหลานเพราะไม่อาจที่จะทำให้เขาต้องเสียหน้าได้ ม่อช่างหลานมีสถานะเป็นผู้อาวุโสใหญ่ เขาได้สร้างคุณงามมากมายแก่นิกาย
เมื่อเทียบกับหลินเฟิงที่ยังพอมีศักยภาพอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจที่จะนำไปเทียบกับเหล่าผู้อาวุโสได้
ความลังเลของหนานกงหลิงทำให้หลินเฟิงหัวเราะเยาะตัวเองที่เคยเชื่อในนิกาย เขาหัวเราะให้กับความโง่เขลาของตัวเอง แม้ว่าเขาจะชนะโหวชิ่งที่เป็น 1 ใน 10 ศิษย์ทั่วไป และกลายเป็นที่จับตามองของศิษย์ทั่วไป แต่อย่างไรก็ตามม่อเสียก็ยังถือเป็นผู้อาวุโสของนิกาย ทั้งเขายังต้องเสียหน้าหลายครั้งเพราะหลินเฟิง
หลินเฟิงไม่ได้มีความแข็งแกร่งที่มากนักดังนั้นเขาจึงไม่ควรวางตัวให้อยู่ในสถานการณ์ที่อันตราย ในความคิดของพวกเขามันเป็นความผิดของหลินเฟิงที่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตนเอง
” ไอ้เด็กโง่เขลา ” ม่อเสียกล่าวขณะที่กำลังเข้าใกล้หลินเฟิง คำพูดเหล่านี้ทิ่มแทงไปที่ใบหูของหลินเฟิง รอยยิ้มของเขาเผยถึงเจตนาที่ชั่วร้ายที่ต้องการจะสังหารหลินเฟิง เขาเป็นเพียงศิษย์ทั่วไปที่ไม่มีค่าอะไร จริงๆแล้วความกล้าหาญที่กล้าต่อต้านม่อเสียมันได้กลายเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง
” หลินเฟิงตายซะ! ” หนึ่งในศิษย์ตะโกนออกมา แต่หลินเฟิงก็ทำได้เพียงตำหนิในความอ่อนแอของตน
” น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถที่จะทำลายการเพาะปลูกของมันด้วยตัวข้าเอง ” หลินเชียนยิ้มอย่างเยาะเย้ย นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดสำหรับหลินเชียน แต่จุดจบของหลินเฟิงก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
พลังที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามทำให้หลินเฟิงเป็นอัมพาต ขนทั่วทั้งร่างของเขาลุกชันขณะที่กำลังเปิดปากออก แต่ในตอนนั้นเองแรงกดดันที่น่ากลัวที่กดทับร่างเขาเอาไว้ได้หายไป
” หืมม? ” หลินเฟิงถึงกับงงงวย แรงกดดันหายไปได้อย่างไร? นอกจากนี้มันยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ม่อเสียอยู่ไม่ไกลจากหลินเฟิง แต่เขานั้นหยุดที่จะก้าวเดินไปยังหลินเฟิง ม่านตาของม่อเสียขยายขึ้นราวกับว่ามองเห็นสิ่งที่ไม่สามารถจินตนาการได้ นอกจากนี้ความแข็งแกร่งที่น่ากลัวได้กดทับร่างกายของเขาไว้
คนมากมายไม่เข้าใจว่าทำไมม่อเสียจึงหยุด หนานกงหลิงและม่อช่างหลานต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์เหล่านี้
” นี่มัน.. ” หลินเฟิงจ้องมองไปที่ม่อเสียและร่างกายของเขา หลินเฟิงรู้สึกตกใจเหมือนกับคนอื่นๆ และแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาเห็น
” ข้าไม่ได้เข้าใจผิด… ” หลินเฟิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น บนร่างของม่อเสีย มีร่างเงาที่คล้ายกับมนุษย์อยู่ ร่างของม่อเสียราวกับกลายเป็นอัมพาต
มันคือเงา และดูคล้ายกับมนุษย์
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการที่หลินเฟิงมองเห็นเงาแต่เขาไม่สามารถที่จะระบุได้ว่าเป็นใคร
ไม่เพียงแต่หลินเฟิงเท่านั้นที่ให้ความสนใจ ทั้งประมุขและทุกคนต่างตกตะลึงอย่างผิดปกติ และมองไปยังร่างเงาที่ปกคลุมร่างของม่อเสีย
” ไสหัวไปไอขยะ! ” เสียงที่ทรงพลังดังไปทั่วพื้นที่ แต่มีเพียงแค่เสียงเท่านั้น ไม่มีใครสามารถที่จะมองเห็นคนที่พูดได้ มันเป็นเสียงที่น่าเกรงขามและทรงพลังจนทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัว
เสียงที่พวกเขาได้ยิน ทำให้หลายๆคนสั่นสะท้านด้วยความกลัวและเริ่มคุกเข่าลง ร่างเงานั้นสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน พวกเขาอยากจะหนีออกไปให้เร็วที่สุดด้วยสัญชาตญาณ
เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น