ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Translate

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Advice โปรแรงส่งท้ายปี ลดทั้งเว็บสูงสุด 20% 19-25 ธันวา 16

Peerless Martial God ตอนที่ 22



ตอนที่ 22 แขนต่อแขน






“เจ้าเด็กคนนี้ช่างกล้าหาญจริงๆ เขากล้าที่จะพูดโต้เถียงกับผู้อาวุโส”

“เขาเป็นคนที่บ้าบิ่นจริงๆ ดูเหมือนว่าเขาจะเบื่อที่มีชีวิตอยู่ซะแล้ว”

ฝูงชนพูดคุยส่งเสียงดัง และมองไปที่หลินเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร พวกเขาไม่คิดว่าหลินเฟิงจะกล้าเผชิญหน้ากับผู้อาวุโส

ในทวีปเก้าเมฆา มันเป็นยุคสมัยอันรุ่งโรจน์สำหรับนิกาย นิกายทรงพลังมากจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นอาณาจักร พวกเขาสามารถนำสันติภาพ หรือความหายนะไปได้ทุกๆที่ ภายในนิกายมีการแข่งขันแก่งแย่งชิงดีกันอย่างรุนแรงเพื่ออำนาจ อันดับในลำดับชั้นนั้นมีความสำคัญอย่างมาก จะมีศิษย์ทั่วไป และศิษย์ภายใน ในนิกาย จากนั้นก็จะมีผู้อาวุโสทั่วไป และผู้อาวุโสใหญ่ คำว่าทั่วไปจะเป็นอันดับต่ำที่สุดไม่ว่าจะเป็นผู้อาวุโส หรือศิษย์ก็ตาม

หลินเฟิงเป็นเพียงศิษย์ทั่วไปเท่านั้น สถานะระหว่างเขากับม่อเสีย มันแตกต่างกันเกินไป ภายในลำดับชั้นในนิกาย ถ้าม่อเสียต้องการให้หลินเฟิงมีชีวิตอยู่เขาก็จะยังมีชีวิตอยู่ แต่ถ้าม่อเสียต้องการให้หลินเฟิงตาย หลินเฟิงก็จะต้องตาย นี่คือความแตกต่างระหว่างพวกเขา

ม่อเสียตกใจ และรู้สึกอับอาย เพราะหลินเฟิงกล้าที่จะโต้เถียงกับเขา ทำให้เขาดูเป็นคนโง่

“โหวชิ่ง การพูดโต้เถียงกับผู้อาวุโสในนิกายถือเป็นความผิดหรือไม่?” ม่อเสีย กล่าวขณะจ้องเขม็งไปที่หลินเฟิง

“การพูดโต้เถียงกับผู้อาวุโส ถือเป็นความผิดขั้นร้ายแรง และจะต้องถูกขับไล่ออกไปจากนิกาย และเขาจะต้องถูกทำลายการบ่มเพาะพลังให้พิการ เพราะเขากระทำผิดต่อผู้อาวุโส” โหวชิ่ง กล่าว

โหวชิ่ง รู้ว่าม่อเสีย ต้องการจะสื่ออะไร ดังนั้นแล้วเขาจะพลาดโอกาสอันยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ท่านผู้อาวุโส ข้าโหว ชิ่ง คิดว่าหลินเฟิงมีความผิด เขาควรจะทำลายการบ่มเพาะพลังของตัวเอง และควรขับไล่เขาออกไปจากนิกาย” โหวชิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่จำเป็น เขาฝึกฝนบ่มเพาะพลังอย่างหนัก และยากลำบาก พวกเราน่าจะเห็นใจหลินเฟิงบ้าง เพียงแค่ตัดแขนของเขาออกไปข้างหนึ่ง จากนั้นค่อยขับไล่เขาออกไปจากนิกาย” ม่อเสียกล่าวด้วยท่าทีราวกับเป็นคนใจกว้างต่อหลินเฟิง

“ชั่วร้ายยิ่งนัก” หลินเฟิงเกลียดม่อเสีย เขาคิดว่าม่อเสียไม่ยุติธรรม ในตอนนั้นหลินเฟิงได้เพิ่มชื่อม่อเสียงลงไปในรายชื่อของหลินเฟิง และตราบใดที่หลินเฟิงยังมีชีวิตอยู่เลือดของม่อเสียมันจะต้องไหลรินออกมา หลินเฟิงถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรต่างๆนาๆ และจะต้องถูกขับไล่ออกจากนิกายไม่ว่ายังไงก็ตาม เห็นได้ชัดว่าหลินเชียนมาที่นี่เพื่อเอาชีวิตของเขา

ตามจริงแล้ว เรื่องพวกนี้มันก็อยู่ในการคาดเดาของหลินเฟิง เพราะพวกเขาได้ให้ผู้อาวุโสมาเรียกตัวเขามา มันเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ไม่ว่าเขาจะปฏิบัติตาม หรือต่อต้านเขาก็จะต้องตายอยู่ดี

“บนเส้นทางของการบ่มเพาะพลัง ผู้ที่ไม่มีพลังอำนาจ หรือพรสวรรค์ใดๆจะต้องตาย แม้จะอยู่ภายในนิกายก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้” หลินเฟิงคิดว่าสิ่งที่สามารถยึดมั่นและเชื่อถือได้คือพลังของตัวเองเท่านั้น ผู้อาวุโสต้องการที่จะตัดแขนเขาออก และขับไล่เขาออกไปจากนิกาย แม้มันจะเป็นข้อกล่าวหาเท็จ แต่มันหาได้สำคัญไม่

หลินเฟิงจ้องมองไปที่หนานกงหลิง ประมุขของนิกายที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เพราะเขาไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“ทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นต้องพึ่งพาความแข็งแกร่ง และพรสวรรค์ตามธรรมชาติ ในตอนนี้ข้าไม่ได้แข็งแกร่งอะไรมากมายนัก ซึ่งหมายความว่าข้าควรจะเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของข้า” หลินเฟิงคิด “ถ้าไม่มีทางเลือก ข้าควรจะเปิดเผยสิ่งที่ข้าได้ทำในหน้าผาจ้านกู้”

เมื่อเขาสามารถทำให้กลองส่งเสียงดังออกมา สองผู้พิทักษ์ของนิกายได้ปรากฏตัวขึ้น และพาเขากลับไปที่นิกายเป็นการส่วนตัว หลินเฟิงยังคงสงสัยว่าทำไมบททดสอบที่เขาผ่านนั้นถึงได้ง่ายเช่นนี้ ตอนแรกเขาคิดว่ามันไม่ง่าย เขาหลอกลวงตัวเองและคิดว่ามันง่ายเพราะผู้พิทักษ์มีความเมตตาและช่วยเหลือเขา
ในขณะนั้นโหวชิ่งยืนอยู่เบื้องหน้าหลินเฟิง และมองด้วยเจตนาร้าย หลายคนกำลังจ้องมองพวกเขา แม้แต่ผู้อาวุโสบางคนยังเฝ้าดูด้วยความเหยียดหยามในการกระทำของหลินเฟิง โหวชิ่งรู้สึกหงุดหงิน และตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน มันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาที่จะแสดงทักษะของเขาให้ผู้อาวุโสได้เห็น

“ไอเศษขยะ เจ้าสามารถตัดแขนของเจ้าด้วยตัวเจ้าเองได้ ความแข็งแกร่งระหว่างข้ากับเจ้ามันแตกต่างกันมากเกินไป ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติพอที่จะสู้” โหวชิ่งกล่าวอย่างเย่อหยิ่ง

เมื่อหลินเฟิงเห็นแววตาทั้ง 2 ข้างของโหวชิ่ง ทำให้เขารู้สึกโกรธ โหวชิ่งไม่ได้แข็งแกร่งอะไรเลยแม้แต่น้อย สำหรับหลินเฟิงแล้ว โหวชิ่งเป็นคนอ่อนแอ และน่าสมเพช

“ข้าอยากจะเห็นว่าเจ้าจะเอาแขนของข้าไปได้อย่างไร” หลินเฟิงกล่าวพร้อมกับดึงดาบออกมาจากฝัก และกำไว้แน่น หลินเฟิงยืนนิ่งไม่ขยับแม้แต่น้อย ราวกับภูเขาที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และปราศจากความกลัวใดๆ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้ามันเป็นเช่นนั้น ข้าจะแสดงให้ผู้อาวุโสเห็นว่าเจ้ามันเป็นคนที่ไร้ค่าจริงๆ” โหวชิ่งกล่าว เป็นที่แน่ชัดว่าหลินเฟิงจะไม่ตัดแขนของตัวเอง

“ทักษะเคลื่อนที่:วายุเริงระบำ ”

โหวชิ่งหายไปในทันที ทักษะเคลื่อนที่:วายุเริงระบำ เขาสามารถใช้ทักษะเคลื่อนที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมากราวกับเขากำลังเริงระบำอยู่ในสายลม

“โหวชิ่งเป็น 1 ใน 10 ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่ศิษย์ทั่วไป ทักษะการเคลื่อนที่ของเขาเหนือกว่าศิษย์ทั่วๆไปมาก แล้วหลินเฟิงจะรับมือกับเขาได้อย่างไร?”

“เจ้าเด็กนั้นมันยังคงยืนนิ่งอย่างสงบ สงสัยเขากำลังยืนรอความตาย การต่อสู้ในครั้งนี้มันจบแล้ว”

ฝูงชนกำลังจ้องมองไปที่ โหวชิ่งที่รวดเร็วพอๆกับสายลม ฝูงชนส่งเสียงดัง โหวชิ่งเป็น 1 ในศิษย์ที่ดีที่สุดในหมู่ศิษย์ทั่วไป เมื่อเขาใช้ทักษะการเคลื่อนที่ของเขา แม้แต่ผู้ที่มีอันดับสูงกว่าเขา ยังไม่สามารถตามความเร็วของโหวชิ่งได้

เมื่อม่อเสีย เห็นทักษะการเคลื่อที่ของโหวชิ่ง เขายิ้มออกอย่างมั่นใจว่าความแข็งแกร่งของโหวชิ่งได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก เขาหวังว่าโหวชิ่งจะสามารถติด 1 ใน 5 ศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในหมู่ศิษย์ทั่วไปของนิกาย มันจะทำให้เขาผู้เป็นอาจารย์ของโหวชิ่งได้รับชื่อเสียง

โหวชิ่งจะสามารถทำให้หลินเฟิงพ่ายแพ้ได้หรือไม่นั้น ม่อเสียไม่คิดตั้งคำถามแม่แต่น้อย หลินเฟิงอยู่ในขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 เท่านั้น หลินเฟิงคงจะถูกโหวชิ่งตัดแขนก่อนที่จะเคลื่อนไหว โดยที่หลินเฟิงไม่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของโหวชิ่งได้

ท่ามกลางฝูงชนที่มุงดู ผู้คนตั้งหน้าตั้งตารอดูเลือดที่ไหลรินออกมาจากหลินเฟิง จากนั้นหลินเฟิงได้ยื่นดาบออกไปข้างหน้าด้วยมือข้างเดียว และยืนนิ่งดั่งภูเขาอีกครั้ง ขณะที่โหวชิ่งเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และวิ่งวนไปรอบๆตัวหลินเฟิงอย่างไม่หยุดหย่อน

ในเวลานั้นสายลมพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ทำให้เสื้อคลุมของหลินเฟิงพัดไหวเหมือนธงในสายลม ผมยาวของเขาบินว่อนไปทั่วทุกทิศทุกทาง แต่เขายังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย และทันใดนั้นโหวชิ่งได้หายตัวไปอีกครั้ง

“มันจบแล้ว ทักษะการเคลื่อนที่ของโหวชิงมันยอดเยี่ยมเกินไป”

แม้ว่าการต่อสู้มันยังไม่ได้เริ่มต้นจริงๆ แต่ฝูงชนก็สรุปผลของการต่อสู้ออกมาเสียแล้ว

ทุกคนเห็นหลินเฟิงได้ปิดตาของเขาลง และดูสงบนิ่ง เสื้อคลุมของเขายังคงพัดไหวไปตามสายลมที่เกิดขึ้นจากโหวชิ่งที่วิ่งอยู่รอบๆตัวเขา การหายใจของหลินเฟิงมั่นคง และจิตใจที่สงบนิ่ง ทันใดนั้นหลินเฟิงได้หยุดหายใจ และเพ่งจิตสมาธิไปที่โหวชิ่ง เพื่อหาตำแหน่งของมัน

ทันใดนั้นดาบของหลินเฟิงเริ่มขยับ ดาบของเขากำลังเริงระบำอยู่ในสายลม ราวกับมันกำลังคัดลอกทักษะของโหวชิ่ง เขาดูสง่างามมาก และปราดเปรียว ด้วยใบหน้าที่สงบนิ่งที่ของหลินเฟิง

“ย๊าากกกกกกกกก” เสียงคำรามดังมาจากเหนือศีรษะของหลินเฟิง ทันใดนั้นบรรยากาศก็เต็มไปด้วยแรงกดดัน ทำให้ฝูงชนที่มุงดูหลายๆคนต่างตกใจ
“อ่อนหัด”

หลินเฟิงกล่าวสั้นๆเพียง 2 คำ ดาบของหลินเฟิงยังคงส่องแสง และไม่มีมลทินใดๆ หลังจากนั้นฝูงชนต่างเห็นเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทุกทาง

ฝูงชนต่างตกใจอ้าปากค้าง กับสิ่งที่พวกเขาเห็น มันเหลือเชื่อเกินไป

โหวชิ่งไม่สามารถตอบโต้การโจมตีของหลินเฟิงได้ และเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มันเป็นชัยชนะที่ง่ายดายสำหรับหลินเฟิง เขาได้ตัดแขนของโหวชิ่งด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

“ม..มันเป็นไปได้อย่างไร?”

“หลินเฟิงเขาทำได้ยังไงกัน?”

ศิษย์ทั่วไปตะโกน พวกเขารู้สึกประหลาดใจมาก เพราะชื่อเสียงของหลินเฟิงถูกศิษย์ทั่วไปอย่างพวกเขาเรียกว่า เศษขยะ แต่เขากลับสามารถตัดแขนของโหวชิ่งได้อย่างง่ายดาย ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น?

เหล่าศิษย์ทั่วไปไม่อาจเห็นการโจมตีของหลินเฟิงได้อย่างชัดเจนนัก แต่เหล่าศิษย์ภายในต่างเห็นการโจมตีของหลินเฟิงได้อย่างชัดเจน หลินเฟิงกวัดแกว่งดาบอย่างรวดเร็ว และใช้ประโยชน์จากพลังของสายลม และตัดแขนของโหวชิ่ง ฝูงชนที่มุงดูเห็นว่ามันเป็นสายลมที่ตัดแขนของโหวชิ่งก่อนที่คมดาบจะมาถึง

“ดาบที่สามารถหลอมรวมกับสายลม และหยิบยืมพลังของมันมาได้ หอดวงดารามีทักษะดาบเช่นนี้ด้วยรึ?” หนานกงหลิงถาม มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่ได้เห็นสิ่งนี้ การใช้ดาบของหลินเฟิงมันยอดเยี่ยมและสมบูรณ์แบบมาก เขาไม่จำเป็นที่จะต้องใช้พละกำลังมากมายใดๆ ในการโจมตีของเขา เขากวัดแกว่งดาบไปตามสายลม และตัดแขนของโหวชิ่ง นี่คือเป้าหมายของหลินเฟิง แต่ถ้าเขาต้องการชีวิตของโหวชิ่งเขาอาจจะสังหารโหวชิ่งได้เพียงการโจมตีครั้งเดียวก่อนที่ทุกคนจะรู้สึกตัว
หลินเฟิงไม่ได้ฝึกฝนทักษะใดๆที่สามารถหลอมรวมกับสายลม มันเป็นเพียงความเข้าใจของเขาที่ได้รับจากหน้าผาจ้านกู้ หลินเฟิงตระหนักว่าดาบมันจะมีพลังของดาบ สายลมก็มีพลังของสายลมเช่นกัน หลินเฟิงเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากพลังของสายลม และกวัดแกว่งดาบไปตามสายลมเท่านั้น ทำให้ดาบและสายลมผสมผสานกัน และได้ตัดแขนของโหวชิ่ง

“ไม่ใช่ว่าเขาใช้พลังของสายลมหรอกรึ?” หนานกงหลิงถาม เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ แต่เขาก็ปฏิเสธความคิดนั้นทันที เพราะหลินเฟิงอยู่เพียงขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณเท่านั้น แล้วเขาจะสามารถเข้าใจใช้พลังของสายลมได้อย่างไร?

ผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ในขอบเขตพลังปราณไม่สามารถที่จะใช้พลังจากธาตุทั้ง 5 ได้ เฉพาะผู้บ่มเพาะพลังที่บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณ และอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถใช้พลังของธาตุทั้ง 5 ได้ หากผู้บ่มเพาะพลังขอบเขตปราณต้องการใช้พลังของธาตุทั้ง 5 พวกเขาสามารถใช้พลังผ่านจิตวิญญาณของตัวเองได้เท่านั้น ผู้บ่มเพาะพลังสามารถใช้พลังของธาตุทั้ง 5 ได้ โดยต้องใช้จิตวิญญาณของพวกเขา แต่ในระหว่างการต่อสู้นั้นหลินเฟิงไม่ได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณของเขาออกมาเลย

“เจ้าเศษขยะนั้น มันแข็งแกร่งขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่เขากลายเป็นคนบ้าบิ่นเช่นนี้ แต่ยังไงซะขยะก็ยังคงเป็นขยะ” ความคิดของหลินเชียนที่ได้เห็นหลินเฟิงตัดแขนฝ่ายตรงข้าม โดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว และโอกาสเดียว นางอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณ และจิตวิญญาณของนางเริ่มที่จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และจิตวิญญาณของนางใกล้ที่จะตื่นขึ้นแล้ว นางมีจิตวิญญาณน้ำแข็ง และไฟ แล้วเศษขยะอย่างหลินเฟิง จะสู้กับนางได้อย่างไร

ม่อเสียอับอายขายหน้ามาก เขาได้เสนอให้โหวชิ่งเป็นคนตัดแขนของหลินเฟิง แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าหลินเฟิงได้ตัดแขนของโหวชิ่งออกไปได้อย่างง่ายดาย โดยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มันราวกับว่าเขาถูกหลินเฟิงตบหน้า และหลินเฟิงมันจะต้องตาย

หลินเฟิงไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าของทุกคน เขายังคงสงบนิ่งเช่นเคย จากนั้นหลินเฟิงได้เก็บดาบเข้าไปในฝัก และมองโหวชิ่งที่อยู่บนพื้น โดยปราศจากความสงสาร หลินเฟิงยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนไปไหน ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“1 ใน 10 อันดับแรกของการจัดอันดับศิษย์ทั่วไป เจ้าบอกกับข้าว่าข้าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสู้กับเจ้า แต่เจ้ากลับสูญเสียแขนของตัวเองไป” หลินเฟิงมองไปที่โหวชิ่งอย่างเยาะเย้ย และกล่าวเพิ่มเติมว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงหยิ่งผยองเช่นนี้ ในเมื่องเจ้ามันอ่อนแอ และน่าสังเวช ถ้าข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าคงจะรู้สึกอับอายขายหน้าแย่”





เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/

ความคิดเห็น

Facebook