ตอนที่ 21 โต้เถียงผู้อาวุโส
เพื่อไม่ให้เป็นที่สนใจมากเกินไป ผู้พิทักษ์เป๋ยได้ตัดสินใจพาหลินเฟิงไปยังห้องสำหรับศิษย์ธรรมดา มันตั้งอยู่ในป่าที่ห่างไกลจากศิษย์คนอื่นๆ
หลินเฟิงไม่สามารถที่จะรอได้และมุ่งหน้าไปหาหานหมาน เมื่อผ่านไปยังห้องฝึกฝนใหม่ของเขา เขาไม่แม้จะหันไปมองดูรอบๆและมุ่งหน้าเดินเข้าหาหานหมาน
” หลินเฟิง! “
หลินเฟิงหันหลังกลับไปและเห็นศิษย์คนหนึ่งยืนรออยู่ที่หน้าประตูห้องฝึกฝน
หลินเฟิงรู้สึกหงุดหงิดเพราะที่ห้องนั้นควรจะเก็บไว้เป็นความลับ มันเป็นสถานที่ฝึกฝนอันศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าศิษย์ หลินเฟิงไม่ต้องการให้ศิษย์คนอื่นรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ศิษย์คนอื่นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดประตูและมองเข้าไปข้างในห้องของศิษย์คนอื่น จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีสิ่งของส่วนตัวหายไป หรือความลับบางอย่างรั่วไหล?
” เจ้ารู้กฎของนิกายหรือไม่? เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องส่วนตัวของศิษย์คนอื่นๆ ” หลินเฟิงกล่าวด้วยความโกรธที่กำลังก่อตัวขึ้น เขารู้จักศิษย์คนนั้น เขามีชื่อว่า โหวชิ่ง เขาเป็นศิษย์ที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน 1 ใน 10 ศิษย์ธรรมดาของนิกาย เขายังทำหน้าที่เป็นผู้รักษากฎของนิกายทำให้เป็นที่เคารพของเหล่าศิษย์ธรรมดา ที่หลินเฟิงรู้จักโหวชิ่งเป็นเพราะสถานะภายในนิกายของเขา นอกจากนี้เขายังรู้เกี่ยวกับหลินเฟิง
ในนิกายหยุนไห่ ม่อช่างหลานเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสใหญ่ เขามีสถานะที่สูงส่ง นอกจากนี้เขายังทำหน้าที่รักษากฎของนิกาย ทำให้ได้รับความเคารพจากทุกคน ในนิกายหยุนไห่ผู้ที่รับผิดชอบในการควบคุมกฎระเบียบจะเป็นที่นับถือเป็นอย่างมาก
โหวชิ่งมักจะใช้อำนาจในฐานะศิษย์ผู้ควบคุมกฎในการปราบปรามเรื่องต่างๆ อย่างไรก็ตามหลินเฟิงไม่คิดไม่ฝันว่าเขากล้าที่จะทำลายหนึ่งในกฎอันศักดิ์สิทธิ์ของนิกาย
” แน่นอนข้าทราบถึงกฎนั้นดี แต่กฎนั้นไม่สามารถนำมาใช้กับขยะเช่นเจ้าได้ ” โหวชิ่งแลดูเกียจคร้าน เขาไม่แม้จะมองตาหลินเฟิงด้วยซ้ำ ในความคิดของเขาหลินเฟิงมันเป็นเพียงขยะที่อยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 5 เท่านั้น
” ตามข้ามา ” โหวชิ่งกล่าว
” ข้าไม่ว่าง ” หลินเฟิงก้าวเดินออกไปอีกครั้ง หานหมานบาดเจ็บสาหัสและยังรอคอยเม็ดยาจากเขาอยู่ ทำไมเขาจะต้องสนใจโหวชิ่งด้วยในเมื่อยังมีสิ่งสำคัญกว่าที่ต้องทำในเวลานี้
” หืม? ” โหวชิ่งตกตะลึงเมื่อหลินเฟิงไม่ได้ให้ความสนใจเขา โหวชิ่งโกรธเกรี้ยวและเริ่มเคลื่อนไหวในทันที
ลมอันบ้าคลั่งเริ่มหมุนวน มีเงาร่างหนึ่งปรากฎต่อหน้าหลินเฟิง มันคือโหวชิ่ง
โหวชิ่งภูมิใจในทักษะเคลื่อนที่ของเขาเป็นอย่างมากเขารู้ถึงความน่าสะพึงกลัวของมันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นคิ้วที่ขมวดลงของหลินเฟิง เจ้าขยะเช่นนี้ถึงกับตกใจที่เห็นทักษะอันยอดเยี่ยมของข้า
” หนึ่งในผู้อาวุโสของนิกายต้องการที่จะพบกับเจ้า หรือเจ้าตั้งใจจะไม่ไป? ” โหวชิ่งหัวเราะเยาะเย้ยราวกับว่าหลินเฟิงกำลังทำสิ่งที่โง่เง่า
” หนึ่งในผู้อาวุโสต้องการที่จะพบข้า ? ” หลินเฟิงประหลาดใจ หรือจะเป็นเรื่องที่ลานประลองแห่งชีวิต? เป็นไปไม่ได้เข้าได้สังหารทุกคนที่รู้เกี่ยวกับตัวจริงของเขาไปหมดแล้ว หรืออาจจะเป็นเรื่องหน้าผาจ้านกู้? ไม่ ผู้พิทักษ์คงไม่ต้องการให้ข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ผู้พิทักษ์เป๋ยก็ไม่ต้องการเช่นกัน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ให้โหวชิ่งรู้เรื่องนี้และคงไม่ส่งโหวชิ่งมารับเขาเป็นแน่ เพราะพวกเขารู้ดีเกี่ยวกับเรื่องของหานหมาน
การที่หนึ่งในผู้อาวุโสต้องการที่จะพบเขาเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องปฏิเสธ
” รอสักครู่ ข้าจะรีบกลับมา ” หลินเฟิงกล่าวแก่โหวชิ่งและเริ่มเดินออกไป โหวชิ่งตกตะลึงอีกครั้ง คนๆนี้รู้ว่าผู้อาวุโสต้องการที่จะพบเขาแต่เขากล้าที่จะให้ผู้อาวุโสต้องรอ โหวชิ่งยิ่งโกรธเกรี้ยวขึ้นไปอีก แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่หลินเฟิงจะต้องเจอต่อไป มันขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
หลินเฟิงไปถึงห้องของหานหมานอย่างรวดเร็วและให้เม็ดยาแก่เขา 3 เม็ด หานหมานยินดีเป็นอย่างยิ่งและรีบกลืนพวกมันลงไปในทันที หลินเฟิงให้เม็ดยาไปถึง 3 เม็ดเพราะเขาต้องการที่จะแน่ใจถึงความปลอดภัยของสหายของเขา เขาต้องการที่จะดูให้แน่ใจโดยการนั่งอยู่ข้างเตียงและเฝ้าดูการฟื้นตัวของเขา
” หลินเฟิง เจ้าไปที่หน้าผานรกมาแล้ว ? ” จิ้งยวิ๋นจ้องมองไปที่หลินเฟิง
หลินเฟิงพยักหน้า เขาไม่ได้ปิดปังหานหมานและจิ้งยวิ๋น แต่เมื่อเขานึกถึงคำพูดของผู้พิทักษ์ เขาทำได้แต่พยักหน้าโดยไม่ได้เอ่ยอะไรต่อ
จิ้งหยวิ๋นรู้ดีว่าหลินเฟิงทำสำเร็จเมื่อเห็นการแสดงออกของเขา นางรู้ว่าหลินเฟิงไปที่หน้าผานรกและเอาเม็ดยากลับมา นางตระหนักดีว่าผู้ใดที่จะผ่านการทดสอบจากหน้าผานรกผู้นั้นจะต้องเป็นหลินเฟิง
หานหมานรู้สึกถึงคลื่นพลังที่แปลกประหลาดบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของหลินเฟิง เขาเปิดตาขึ้นและจ้องมองไปที่หลินเฟิงด้วยความตะลึงและถึงกับพูดไม่ออก แต่เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณที่ได้มีสหายที่น่าทึ่งเช่นนี้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังการฟื้นฟูที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายอย่างไม่ขาดสาย
” หลินเฟิง ขอบคุณมาก ” หานหมานกล่าว ถึงแม้เขาจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่อยู่กับหลินเฟิง แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นสหายที่แท้จริง หานหมานจะจดจำสหายคนนี้ไว้ตลอดการ ถ้าหากสวรรค์ต้องการที่จะลงทัณฑ์หลินเฟิง มันจะต้องผ่านเขาไปให้ได้ก่อน
นี่สิคือสหายที่แท้จริง! หลินเฟิงสังหารจิ่งเฟิงและต้องการที่จะรับผลกระทบคนเดียว เขายังแบ่งปันวัตถุดิบอันมีค่าที่ได้รับจากการฆ่าสัตว์อสูรที่เขาเป็นคนสังหารอย่างเท่าเทียม เขายังสามารถที่จะสังหารเจี่ยงฮ่วยและจิ่งห้าวด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเขาเลือกที่จะไปยังหน้าผานรกเพื่อที่จะช่วยเหลือหานหมาน ในโลกนี้หาได้ยากนักผู้ที่ทำเพื่อคนอื่นเช่นนี้ทั้งๆที่เพิ่งพบกันในช่วงเวลาสั้นๆ หลินเฟิงเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญต่อมิตรภาพเป็นอย่างมาก
เพียงแค่เวลาช่วงสั้นๆร่างกายของหานหมานฟื้นฟูเกือบจะหายขาด ไม่มีความเจ็บปวดใดๆอีกต่อไป การฟื้นฟูของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก
จิ้งยวิ๋นเห็นได้ชัดเจนถึงความเร็วในการฟื้นตัวของหานหมาน รอยช้ำบนหน้าของเขาหายไป นางประหลาดใจในความเร็วของเม็ดยาฟื้นฟู
” เม็ดยาเหล่านี้ช่างมีประโยชน์ยิ่งนัก เป็นดั่งที่ท่านผู้พิทักษ์กล่าวไว้ ” หลินเฟิงคิดเมื่อเห็นความเร็วในการฟื้นตัวของหานหมานว่ามันรวดเร็วแค่ไหน หลินเฟิงยิ้มและเริ่มผ่อนคลายลง
” หานหมานดูเหมือนว่าการรักษาเจ้าจะไม่มีปัญหาอะไร ข้าไม่สามารถที่จะอยู่ที่นี่ได้นานนัก ข้ายังมีบางที่ที่ต้องไป “
ก่อนที่หลินเฟิงจะจากไป เขาได้หยิบเม็ดยาออกมาอีก 3 เม็ดและส่งพวกมันให้กับจิ้งยวิ๋น เขากล่าว ” จิ้งยวิ๋น ถ้าการฟื้นฟูของหานหมานยังไม่สมบูรณ์ รบกวนใช้ยาทั้ง 3 เม็ดนี้กับเขา ข้าขอฝากเจ้าด้วย “
” หลินเฟิงไม่ต้องห่วง ข้าจะทำตามที่เจ้าพูด ” จิ้งยวิ๋นรับเม็ดยาทั้ง 3 เม็ดและมองดูหลินเฟิงจากไป
หลินเฟิงตามโหวชิ่งออกไปและมุ่งหน้าไปที่หุบเขาแห่งความป่าเถื่อนและตรงไปยังลานประลองแห่งชีวิต หลินเฟิงสังเกตเห็นว่ามีศิษย์มากมายรวมตัวกันอยู่ที่นี่ เขาไม่เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น
ที่สำคัญเขาต้องการรู้ถึงเหตุผลที่ผู้อาวุโสต้องการพบเขา
” ท่านประมุข ผู้อาวุโสม่อ ข้านำหลินเฟิงมาแล้วขอรับ ” โหวชิ่งกล่าวออกไปด้วยความนอบน้อม
” นี้คือท่านประมุขหนานกงหลิง และผู้อาวุโสใหญ่ม่อช่างหลาน “
หลินเฟิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขาไม่คาดหวังจะได้พบบุคคลสำคัญเช่นนี้ เขามองไปรอบๆเห็นฉู่ จั่น เผิง และหลินเชียน หลินเชียนจ้องมองมาที่ใบหน้าของเขาอย่างเย็นชา
” นางมาทำอะไรที่นี่ ? “
” หลินเฟิง เจ้ารู้ถึงความผิดที่เจ้าได้กระทำไปหรือไม่? ” ม่อเสียกล่าวถามหลินเฟิงด้วยท่าทีคุกคาม
” ผู้อาวุโส ข้าไม่เข้าใจ ” หลินเฟิงส่ายหัว เขารู้สึกได้ถึงเหงื่ออันเย็นเยียบไหลไปทั่วทั้งหลัง ม่อเสียเป็นถึงผู้อาวุโส เขาสัมผัสได้ถึงลางร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น
” เจ้าไม่เข้าใจ? เจ้าเป็นเพียงศิษย์และเจ้ายังไม่ให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโสของเจ้าและยังทำร้ายพี่น้องของตัวเอง เจ้ามันเป็นความอัปยศของนิกาย ไอ้เศษขยะ ” ม่อเสียกล่าวหาหลินเฟิงอย่างรุนแรง เขาเสียหน้าเป็นอย่างมากเกี่ยวกับข้อตกลงที่ทำไว้กับฉู่ จั่น เผิง เพื่อที่จะกู้หน้ากับมาเขาจึงจำเป็นต้องทำ หลินเฟิงเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาที่ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญอันใด
ม่อเสียได้เอ่ยข้อหาเหล่านี้ต่อหน้าทุกคนและตั้งใจที่จะให้หลินเฟิงถูกขับไล่ออกจากนิกาย เขาได้ใช้ข้อหาที่กดดันไม่ให้ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งสามารถที่จะโต้แย้งได้
” อัปยศ? ขยะ? ทำให้นิกายเสียหน้า? ” ดวงตาของหลินเฟิงเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจแต่เมื่อจ้องมองไปที่หลินเชียน ทำให้เขาเข้าใจในทันทีถึงสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสม่อถึงอยู่ข้างหลินเชียน ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาที่ไม่มีชื่อเสียง แต่เขาก็ยังถือเป็นศิษย์ของนิกาย
” ทำไมเจ้าไม่พูดล่ะ? เจ้าไม่สามารถที่จะโต้แย้งความผิดทั้งหมดนี้ใช่หรือไม่? ” ม่อเสียกล่าวอย่างเย็นชาขณะที่มองไปยังหลินเฟิงผู้ที่ยืนอยู่เงียบๆ
” ผู้อาวุโส ท่านได้กล่าวหาข้าโดยไร้หลักฐาน ข้าเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาอันต่ำต้อยและเห็นได้ชัดว่าคำพูดของข้านั้นไม่มีความหมายต่อหน้าผู้อาวุโสที่ทรงอำนาจของนิกาย แม้ว่าข้าจะพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของข้ามันก็คงไร้ค่าอยู่ดี ข้านั้นถูกลงความเห็นว่าเป็นผู้สร้างมลทินให้แก่นิกายไปแล้ว แล้วยังจะให้ข้าต้องพูดอะไรอีก? “
” โอหังนัก! ” ม่อเสียตะโกนออกไป เขาไม่คาดคิดว่าก่อนว่าหลินเฟิงจะพูดเช่นนี้ออกมา คำพูดของหลินเฟิงพยายามที่จะสื่อว่าศิษย์ธรรมดาอันต่ำต้องนั้นถูกเลือกปฏิบัติและผู้อาวุโสสามารถที่จะกล่าวหาใครก็ได้โดยที่ไม่มีหลักฐาน
” เจ้ากล้าเถียงข้า! ข้าเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของนิกาย หน้าที่ของข้าก็คือการดูแลเกี่ยวกับอาชญากรรมของเหล่าศิษย์ เจ้ารู้หรือไม่การเถียงผู้อาวุโส ถือเป็นความผิด?”
” ข้าไม่ได้กล่าวสักคำว่าท่านต้องการให้ข้ายอมรับความผิดในข้อหาที่ท่านกล่าว อย่างไรก็ตามเมื่อข้าเลือกที่จะพูด ท่านกลับกล่าวหาว่าข้ากำลังเถียงกับผู้อาวุโส ข้า หลินเฟิงอยากจะถามผู้อาวุโสที่กำลังลำเอียงว่าท่านกำลังทำหน้าที่อยู่หรือไม่? ” หลินเฟิงตะโกน
เมื่อม่อเสียกล้าที่จะกล่าวหาหลินเฟิง เขาเชื่อเกี่ยวกับความผิดที่หลินเฟิงได้กระทำไว้ราวกับเขารู้เห็นเป็นพยาน ไม่มีอะไรที่จะมาเปลี่ยนความคิดของเขาได้ เขาคิดว่าหลินเฟิงคือความอัปยศของนิกาย เช่นนั้นจึงทำเหมือนหลินเฟิงเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน หลินเฟิงตระหนักดีว่าม่อเสียผู้นี้จะสร้างความลำบากให้แก่เขาไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้แต่การโต้เถียงก็ยังถือเป็นความผิด แล้วทำไมเขาจะต้องสนใจอะไรอีก ในเมื่อยังไงเขาก็เป็นคนผิดอยู่แล้ว? “
เบื้องหน้าของหลินเฟิงเต็มไปด้วยศิษย์ของนิกายหยุนไห่ แต่เขาก็จ้องมองไปที่ม่อเสียอย่างไม่เกรงกลัว
เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น