ตอนที่ 18
เหนือหน้าผาจ้านกู้มีสายลมที่รุนแรงพัดกระหน่ำ และสามารถมองเห็นดาบที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณได้ในทุกทิศทาง และสามารถมองเห็นสายลมที่บ้าคลั่งได้บนขอบหน้าผา มันเป็นสายลมที่พัดกระหน่ำออกมาจากดาบที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณ
ดาบที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณเริ่มที่จะหนาแน่นขึ้น และรุนแรงขึ้นเมื่อเข้าใกล้กลองทั้ง 8 เสียงที่พัดกระหน่ำทำให้ลมรอบๆรุนแรงขึ้น เสียงที่ดังออกมาจากทักษะอัสนีคำรามทำให้บรรยากาศรอบๆเกิดสายลมที่รุนแรงขึ้นพัดไปทั่ว
หลินเฟิงโจมตีอย่างไม่หยุดยั้งเขาไม่สามารถจำได้ว่าเขาใช้ทักษะอัสนีคำรามออกไปกี่ครั้ง พลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาจากดาบของหลินเฟิงค่อยๆที่จะโปร่งใสมากยิ่งขึ้น และล้อมรอบตัวหลินเฟิงเพื่อปกป้องเขาจากการโจมตีต่างๆ และยังคงโจมตีกลองอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของหลินเฟิงเต็มไปด้วยบาดแผลตั้งแต่หัวจรดเท้า บาดแผลของหลินเฟิงส่วนมากเป็นรอยขีดข่วนเท่านั้น ถ้าเป็นคนอื่นๆพวกเขาคงมีบาดแผลที่ลึกสามารถมองเห็นกระดูกได้ถ้ามีใครเห็นหลินเฟิงคงจะคิดว่าเขาเพิ่งผ่านการสู้รบที่เลวร้ายที่สุดมา
ราวกับว่าหลินเฟิงได้ลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่างไป เขาถูกปกคลุมไปด้วยพลังปราณมหาศาลที่ปลดปล่อยออกมาจากดาบของเขา และเริ่มคายความลึกลับของมันออกมา ปกป้อง โจมตี ปกป้อง และโจมตีอีกครั้งไปเรื่อยๆ…..
ถ้าหากมีใครบางคนกำลังมองดูหลินเฟิง พวกเขาคงจะร้องไห้ออกมาเพื่อหยุดไม่ให้หลินเฟิงทำลายร่างกายของตัวเขาเองไปมากกว่านี้ ทุกๆครั้งที่หลินเฟิงโจมตีใส่กลอง เขาจะใช้ทักษะอัสนีคำรามทุกครั้ง ถึงแม้ว่ากลองมันจะสะท้อนการโจมตีกลับมาเป็น 2 เท่าของพลังโจมตีของหลินเฟิง แต่หลินเฟิงก็ยังคงโจมตีมันอย่างต่อเนื่อง
“แต่มันก็ยังคงไม่มีเสียงใดๆดังออกมา” ความเป็นจริงนี้ทำให้หลินเฟิงตื่นตระหนก แม้ว่ามันจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับเขาที่จะทำอย่างนั้น แต่เขาเข้าใจว่าเขาได้ก้าวหน้าไปมากขนาดไหน ก่อนที่เขาจะฝึกฝนทักษะอัสนีคำราม เขาคิดว่าจะฝึกฝนให้ถึงระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นทำได้ และจะต้องใช้ทักษะนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญ เมื่อหลินเฟิงมาที่หน้าผาจ้านกู้แห่งนี้เขาก็ตระหนักว่าเขายังไม่ได้เชี่ยวชาญทักษะอัสนีคำราม และยังอยู่เพียงในขั้นพื้นฐานเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ทักษะของเขาไม่แตกต่างจากเด็กที่เพิ่งอย่านมแม่
ตอนแรกหลินเฟิงใช้พลังของเขาเพียงครึ่งเดียวโจมตีกลองใบเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาเริ่มโจมตีกลองพร้อมกับ 2 ใบ 3 ใบ จนกระทั่งเขาโจมตีกลองพร้อมกันทั้ง 8 ใบ หลินเฟิงโจมตีกลองทั้ง 8 ใบพร้อมกัน และพวกมันก็สะท้อนการโจมตีกลับมา ทุกครั้งที่หลินเฟิงรับพลังที่สะท้อนกลับมามันทรงพลังมากกว่าการโจมตีของเขา ถ้าหลินเฟิงไม่ระวังพลังที่สะท้อนการโจมตีกลับมา แขนของเขาอาจจะถูกทำลาย หรือซี่โครงของเขาอาจจะแตกหักได้ หลินเฟิงเริ่มเข้าทักษะดาบของเขาได้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
เมื่อเวลาผ่านไปหลินเฟิงก็ยังเพิ่มพลังไปในการโจมตีมากขึ้นเรื่อยๆ และยังคงฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง พลังโจมตีของหลินเฟิงทรงพลังมากขึ้นถึง 2 เท่า และยังคงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆและหยุดที่ 7 เท่า ทุกครั้งที่หลินเฟิงรู้สึกว่าถึงขีดจำกัดของเขาแล้วนั้น เขาก็จะหาวิธีก้าวข้ามขีดจำกัดนั้น จากนั้นเขาก็รวบรวมพลังที่เพิ่มขึ้นมาถึง 7 เท่าและโจมตีกลองทั้ง 8 ใบในเวลาเดียวกัน ร่างกายของหลินเฟิงเริ่มที่จะเจ็บปวด และความกดดันที่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอย่างหนักหน่วง
แต่น่าเสียดายที่กลองมันยังคงไม่ส่งเสียงว่าผ่านการทดสอบออกมา
…………
มีผู้คนนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอยู่รอบๆลานประลองแห่งชีวิต
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่? ผู้อาวุโสกำลังมา” หนึ่งในฝูงชนกล่าวขณะจ้องมองคนที่อยู่ในลานประลองแห่งชีวิต พวกเขารู้สึกงงงวย
“นั่นเขาศิษย์พี่เฉิน ชิง เมื่อ 2 เดือนก่อนเขากลายเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์ภายนอก เพราะเขาสามารถเอาชนะศิษย์ภายในได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำให้เขาได้รับการยอมรับให้จากนิกาย และกลายเป็นศิษย์ภายใน แล้วเขามาทำอะไรในที่แห่งนี้กันเนี่ย?”
“หึ ใครจะสนเรื่องของเฉิน ชิง กัน? เจ้าไม่เห็นหรือว่า ถูฟู และสหายของเขา ลิ่งหู มาที่นี่หรือ?”
“อะไรนะ! เจ้ากำลังจะบอกว่า ถูฟู และ ลิ่งหู อยู่ที่นี่?!”
ฝูงชนตกอยู่ในความแตกตื่นเพราะถูฟู มีชื่อเสียงมากในนิกายหยุนไห่ เขาถูกกล่าวขานว่าเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่ศิษย์ภายใน และแข็งแกร่งพอๆกับ ลิ่งหู ในนิกายหยุนไห่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักเขา และได้รับการยกย่องว่าเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกาย เขามีการบ่มเพาะพลังมากกว่าคนอื่นๆในนิกาย และมากกว่าผู้อาวุโสบางคน
เหล่าฝูงชนที่จะได้เห็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายจะมาอยู่ในลานประลองแห่งชีวิต แล้วพวกเขาจะไม่แตกตื่นได้อย่างไร?
บนขอบฟ้ามีนกยักษ์ในตำนานบินอยู่ในฟากฟ้า มันสยายปีกและกำลังทะยานพุ่งตรงมาในที่นี่ ทุกๆคนสามารถเห็นว่ามันทรงพลังมาก
“เขากำลังมา” เหล่าฝูงชนที่อยู่รอบๆลานประลองแห่งชีวิตกำลังมองภาพเงาที่บินอยู่ในท้องฟ้า
ความเร็วของนกยักษ์ในตำนานนั้นมันรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ เพียงแค่พริบตาเดียวมันก็มาถึงหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนนี้แล้ว เหล่าศิษย์ของนิกายหยุนไห่เกิดความเอะอะ และโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
“โอ้พระ….มีคนอยู่บน…! มีคน 2 คนกำลังขี่นกยักษ์ในตำนาน เจ้าเห็นนางหรือไม่ มีสาวงามอยู่บนนั้น”
ผู้คนที่จ้องมองสาวงามที่อยู่บนหลังนกยักษ์ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเร่าร้อน เพราะนางนั้นช่างงดงามมาก ฉากที่พวกเขาเห็นทำให้จิตใจของพวกเขารู้สึกเบิกบาน มันมากเกินไปสำหรับศิษย์ที่ต่ำต้อยอย่างพวกเขา เพราะพวกเขาได้เห็นเรื่องที่น่าตกใจมากมายหลายอย่างในวันนี้
“ข้าขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านต้องรอ” นกบินลงจอดในลานประลองแห่งชีวิต ฝูงชนเห็นได้อย่างชัดเจนว่า…..นกนั้นมันเป็นจิตวิญญาณ ปีกทั้ง 2 ข้างที่มันสยายปีกออกมา ทำให้มันดูเหมือนนกในตำนานจริงๆ ชายคนนั้นถึงการแสดงออกของเขาจะแปลกประหลาด….แต่เขาดูหล่อเหลามาก และดูชั่วร้ายมากในเวลาเดียวกัน
“เขายังหนุ่มมาก! แต่เขากลับมีจิตวิญญาณนกยักษ์เพียงอายุแค่นี้เนี่ยนะ? แล้วความแข็งแกร่งของเขาจะขนาดไหนกัน?”
“เดี๋ยว….เดี๋ยวก่อน ข้าได้ยินมาจากศิษย์หลักของนิกายห้าวเย่วว่า ผู้ใดที่มีจิตวิญญาณนกยักษ์จะได้รับอันดับศิษย์ที่สูง…มันยากที่จะเปรียบเทียบเขากับมนุษย์ทั่วๆไป….”
“ถูกต้อง แน่นอนว่าศิษย์หลักนั้นสมควรที่จะได้รับชื่อเสียงนั้น เขามีทักษะเคลื่อนที่อันน่ามหัศจรรย์ และจิตวิญญาณของเขายังสามารถนำพาผู้อื่นไปเที่ยวบินได้ด้วยความแข็งแกร่งของมัน” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของนิกายกล่าว ชื่อของชายผู้นั้น คือ ฉู่ จั่น เผิง ไม่นานมานี้ นิกายหยุนไห่ได้รับจดหมายที่เขียนโดยฉู่ จั่น เผิง ในจดหมายมันเขียนว่าเขาต้องการแลกเปลี่ยนวรยุทธ ในนิกายหยุนไห่ และเขาก็เข้ามาในลานประลองแห่งชีวิตทันทีเพื่อต่อสู้
ฉู่ จั่น เผิงกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายเฮ่าเย่ว และเขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงมากในเมืองเสวี่ยเย่ว เพราะสถานะของเขา เขาเป็นศิษย์ที่อยู่ในอันดับ 6 ที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักร มันไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงแต่อย่างใด ในนิกายหยุนไห่ไม่มีใครมีความสามารถพอที่จะปะมือกับเขาได้ ลิ่งหู ไม่อยากออกไปสู้กับฉู่ จั่น เผิง และนิกายก็ไม่อยากให้พวกเขาต่อสู้กัน แต่ถ้าเขาท้าใครสักคนขึ้นมาต่อสู้นิกายไม่มีทางเลือกนอกจากตอบตกลง
“ท่านผู้อาวุโส ท่านก็พูดยกยอข้าเกินไป ผู้หญิงคนนี้คือศิษย์น้องของข้า ชื่อ หลินเชียน ไม่นานมานี้นางเพิ่งบรรลุขอบเขตจิตวิญญาณ ข้ามาเวลานี้เพราะศิษย์น้องของข้าหลินเชียนได้ยินว่าศิษย์ของนิกายหยุนไห่ล้วนแข็งแกร่งและทรงพลัง ดังนั้นนางจึงต้องการที่จะมาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวความรู้ ข้าหวังว่าพวกท่านจะช่วยให้นางให้เก็บเกี่ยวความรู้ได้ และเลือกคู่ต่อสู้ใกล้เคียงกับระดับพลังของนาง นางจะต้องได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการต่อสู้ครั้งนี้”
ฉู่ จั่น เผิง แนะนำสาวสวยที่อยู่ข้างเขา เขายังคงหล่อเหล่า และดูชั่วร้ายในเวลาเดียวกัน
ม่อเสีย ดูถูก ฉู่ จั่น เผิง อย่างเงียบๆ ฉู่ จั่น เผิง เป็นคนที่มีชื่อเสียงแน่นอน ไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาได้ส่งจดหมาย และวางแผนบางอย่าง
“ออกไปสู้ซะ เฉิน ชิง เจ้าได้รับโอกาสให้ต่อสู้กับหลินเชียน แสดงให้นางเห็นทักษะของนิกายเรา และสั่งสอนนางผ่านการต่อสู้” เฉิน ชิง บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว ก่อนที่จะล้มคู่ต่อสู้ที่เป็นศิษย์ภายในได้ ตอนนี้เขาติดอยู่ในคอขวดขั้นแรกของขอบเขตจิตวิญญาณ ถ้าเขาไม่สามาถเอาชนะหลินเชียนได้ คงจะไม่มีศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณคนไหนในนิกายสามารถเอาชนะนางได้
“ขอรับ ท่านอาวุโส” เฉิน ชิงกล่าวและพยักหน้า จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปใจกลางของลานประลองแห่งชีวิตเพื่อต่อสู้กับหลินเชียน
“สหายหลินเชียน พวกเรามาเริ่มต่อสู้กันเถอะ” เฉินชิง กล่าวขณะปลดปล่อยจิตวิญญาณของเขาออกมา ทันใดนั้นก็มีชั้นหินปกคลุมร่างของเขา ทำให้เขาดูคล้ายกับโกเลมขนาดใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยหินที่แข็งที่สุด
“นี่คือจิตวิญญาณของเฉินชิง ไม่เพียงแต่มีความสามาถในการป้องกันที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่การโจมตีของเขาก็ยังทรงพลังมาก เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถชนะนางได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะใดๆเพิ่มเติม” ศิษย์เก่าแก่คนหนึ่งกล่าวขณะจ้องมองเฉินชิงด้วยความมั่นใจ
แม้ว่าเฉินชิงจะถูกปกคุลมไปด้วยหินขนาดใหญ่มากมาย แต่ความเร็วของเขาก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย เขาสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วเหมือนกับตอนแรก ก่อนที่เขาจะใช้จิตวิญญาณ เพียงพริบตาเดียว เขาก็มาถึงด้านหน้าของหลินเชียง เขาปล่อยหมัดไปที่หลินเชียงที่ดูบอบบาง ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกกังวลกับความสวยงามของนาง
“พลังน้ำแข็ง” หลินเชียงกระซิบออกมาเบาๆ อากาศหนาวเย็นที่แผ่กระจายออกมาจากตัวนางทำให้อากาศรอบๆตัวนางหนาวเย็นขึ้น การโจมตีด้วยน้ำแข็งอย่างกระทันของหลินเชียงทำให้กำปั้นหินของเฉินชิงไม่สามารถโจมตีนางได้ ราวกับมีกำแพงเหล็กมาบดบังทำให้เขาไม่สามารถโจมตีไปยังข้างหน้าได้
จากนั้น จู่ๆหลินเชียงก็คว้ากำปั้นของเฉินชิงด้วยมือทั้งสองข้างของนาง จากนั้นน้ำแข็งก็แผ่ปกคลุมแขนของเฉินชิง และแผ่กระจายอย่างรวดเร็วจนกระทั่งปกคุลมร่างของเขา
“นั่นมัน จิตวิญญาณน้ำแข็ง ช่างทรงพลังยิ่งนัก นางมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมจริงๆ!” ม่อเสีย กล่าว ทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับจิตวิญญาณ แต่จิตวิญญาณที่เหมือนกัน แต่อยู่กับคนที่ต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งเท่ากัน ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณขึ้นอยู่กับระดับการบ่มเพาะพลัง,พรสวรรค์ตั้งแต่กำเนิด,ทักษะการต่อสู้ และตัวแปรอื่นๆ จิตวิญญาณจะไม่แข็งแกร่งได้หากปราศจากรากฐานที่ถูกต้องในการบ่มเพาะพลัง
ม่อเสีย ไม่ได้กังวล เฉินชิง แม้แต่น้อย หลังจากที่เขามีจิตวิญญาณหินทำให้การป้องกันของเขามันทรงพลังมาก
“พลังเพลิง” หลินเชียงพูดออกมาอย่างเบาๆ ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ล้อมรอบตัวเฉินชิง และร่างที่ถูกแช่ของเขาสั่นเทา หินที่ล้อมรอบร่างกายของเฉินชิงเริ่มที่จะแตกร้าว ทำให้เขากรีดร้องออกมาพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากบาดเเผล ทุกคนที่จ้องดูอยู่ล้วนตกอยู่ในอาการมึนงง เพราะร่างหินของเขาถูกทำให้แตกเป็นชิ้นๆ
“พลังของน้ำแข็ง และพลังเพลิง” ใบหน้าของ ม่อเสีย เปลี่ยนไปอย่างกระทันหัน จิตวิญญาณแห่งจักรวาล มันอาจจะเป็นจิตวิญญาณแห่งจักรวาล
“ความแข็งแกร่งของเจ้านั่นสูงมาก ข้าแพ้แล้ว” เฉินชิงกล่าวสภาพของเขาดูน่าหดหู่มาก เขากลับไปยืนที่ด้านข้างของม่อเสีย เหล่าฝูงชนเต็มไปด้วยความโกลาหล : เขาแพ้ เขาพ่ายแพ้จริงๆหรือนี่
นิกายหยุนไห่ได้เลือกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมออกไปต่อสู้ แต่เขากลับพ่ายแพ้ เหล่าผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความโกรธ เพราะพวกเขาถูกทำให้อับอายเสียหน้า
ฉู่ จั่น เผิง ยังคงยิ้ม และเหลือบมองคนอื่นๆ : “เห~ ~ ข้าคิดว่าศิษย์ที่นิกายหยุนไห่เลือกออกไปสู้นั้นจะแข็งแกร่ง ที่ไหนได้แม้แต่ศิษย์น้องที่ข้าเลือกมาจากนิกายเฮ่าเย่วกลับแข็งแกร่งกว่ามาก คนที่สามารถชนะนางได้ในทวีปนี้มีน้อยมาก”
“ข้าฉู่ จั่น เผิง ต้องการหาศิษย์ที่โดดเด่นพอที่จะแลกเปลี่ยนวรยุทธกับหลินเชียน แต่เดิมแล้วที่ข้ามาที่นี่เพราะข้ามีเรื่องบางอย่างที่อย่างจะถาม”
“เจ้าอยากถามเรื่องอะไร?” ม่อเสีย กล่าวออกมาด้วยความกังวล
“ศิษย์น้องของข้ามีลุง และลูกของลุงของนาง ที่ชื่อว่า หลินเฟิง เขาเป็นคนที่บ้าบิ่นจริงๆ เขาทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลต้องเสียหน้า และทำให้ศิษย์ตระกูลเดียวกันต้องได้รับบาดเจ็บ เขาเป็นศิษย์ที่อวดดียิ่งนัก ข้าหวังว่านิกายหยุนไห่จะส่งตัวเขามาให้ข้า”
ม่อเสีย เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างทันที เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ จุดประสงค์ที่แท้จริงของ ฉู่ จั่น เผิง อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ฉู่ จั่น เผิงรู้ว่าถ้าเขาถามออกมาตรงๆว่าต้องการตัวศิษย์ของในนิกายหยุนไห่โดยตรง มันจะทำให้นิกายเสียหน้า แต่อย่างไรก็ตามเขาฉลาดมาก เขาให้หลินเชียนมอบความพ่ายแพ้ให้กับศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายหยุนไห่ และเขายังเลือกคำพูดอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้ตระกูลหลินต้องเสียหน้าด้วยการส่งตัวหลินเฟิงให้เขา
แน่นอนถ้าม่อเสียไม่ยอมรับข้อเรียกร้องของฉู่ จั่น เผิง เขาก็จะไม่เป็นมิตรดั่งเช่นตอนนี้
“ดูเหมือนว่าหลินเชียนจะมีความหมายสำหรับเขามาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มานิกายหยุ่นไห่สำหรับเรื่องเล็กๆเช่นนี้ ผู้ใดที่มีจิตวิญญาณจักรวาลย่อมเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมาก” ม่อเสียได้ตัดสินใจแล้ว และสั่งคนอื่นว่า “ไปพาตัวหลินเฟิงมาที่นี่”
เมื่อ ฉู่ จั่น เผิง ได้ยินคำพูดเหล่านี้เขาก็ยิ้มออกมา แต่นัยน์ตาของหลินเชียนดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า
หลินเฟิงไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน เพราะเขากำลังฝึกฝนอยู่ที่หน้าผาจ้านกู้
หลินเฟิงถูกล้อมรอบไปด้วยพลังปราณจำนวนมาก ทุกๆครั้งที่เขาโจมตีด้วยดาบมันก็จะสะท้อนการโจมตีกลับมาพอที่จะฆ่าเขาได้ด้วยการโจมตีครั้งเดียว และมันก็จะสะท้อนกานโจมตีกลับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลินเฟิงได้ปลดปล่อยจิตวิญญาณแห่งความมืดออกมา และใช้ทักษะอัสนีคำรามโดยไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ มีแสงสีขาวล้อมรอบร่างของเขา และเสียงคำรามดังสนั่นแผ่กระจายไปทั่วทั้งบรรยากาศ มันเป็นฉากที่น่ากลัวสำหรับคนที่สามารถมองเห็นมันได้
หลินเฟิงตกอยู่ในความบ้าบิ่นอย่างสมบูรณ์ เขาใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาโจมตีไปที่กลอง และเขาไม่รู้เลยว่านิกายกำลังค้นหาตัวเขาอยู่เพื่อส่งตัวเขาไปให้ฉู่ จั่น เผิง
เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น