ตอนที่ 16 สัจธรรมของโลก
จิ่งห้าว เป็นหนึ่งในศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายและอยู่ในระดับ 6 ของการจัดอันดับศิษย์ การบ่มเพาะพลังของเขาอยู่ในขั้นที่ 9 ของขอบเขตพลังปราณซึ่งมันเหนือกว่าการบ่มเพาะพลังของหลินเฟิง ชื่อเสียงของ จิ่งห้าว โด่งดังเพราะเขาได้เอาชนะศิษย์ที่อยู่ในขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 ได้ 3 คน ในการต่อสู้แบบ 3 ต่อ 1
ระดับการบ่มเพาะพลังของหลินเฟิงต่ำกว่าจิ่งห้าว แต่ทุกๆคนเห็นว่าหลินเฟิงสามารถบังคับให้จิ่งห้าว ต้องถอยร่นได้ และเขาได้ฆ่าเจียง ฮ่วย ผู้ที่เป็นสหายสนิทที่สุดของจิ่งห้าว จิ่งห้าวเสียหน้าอย่างมากเพราะเขาได้ถูกหลินเฟิงที่อยู่ขั้นที่ 8 ทำให้เขาต้องถอยร่น แถมยังสังหารสหายสนิทที่สุดต่อหน้าเขา ในขณะฝูงชนต่างคิดว่าจิ่งห้าวปลดปล่อยความโกรธของเขาออกมา และทำให้หลินเฟิงต้องตกอยู่ในสภาพอันน่าเวทนา หลินเฟิงได้ก้าวเข้าสู่ลานประลองแห่งชีวิตอีกครั้ง ฝูงชนที่มุงดูไม่อย่างจะเชื่อในการกระทำของเขา หลินเฟิงไม่อย่างจะเสียเวลามากนัก และท้าทายจิ่งห้าว
“บางทีเขาอาจจะรู้ว่าชะตาชีวิตของเขาได้ขาดแล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะตายในลานประลอง” ศิษย์ที่อยู่ในฝูงชนกล่าว หลินเฟิงอยู่ในขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 เท่านั้น และความแข็งแกร่งของเขาค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับจิ่งห้าว
จิ่งห้าวรู้สึกอับอายที่ถูกทำให้ขายหน้า เขาไม่เคยถูกทำให้อัปยศขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่เข้าร่วมนิกายหยุนไห่
“ตั้งแต่ที่เจ้าร้องขอความตาย ไม่มีใครดีเท่าข้าที่จะฆ่าเจ้า” น้ำเสียงของเจี่ยงห้าวเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ตั้งแต่ที่เขาได้เห็นหลินเฟิงใช้ทักษะอัสนีคำราม เขารู้ว่าหลินเฟิงไม่ได้โกหกเขาแน่นอน เขามีความแข็งแกร่งพอที่จะฆ่าจิ่งเฟิง
ไม่เพียงแต่หลินเฟิงจะฆ่าน้องชายคนเล็กของเขาเท่านั้น แต่ยังทำให้จิ่งห้าวต้องอับอายเสียหน้าต่อศิษย์คนอื่นๆจำนวนมาก มันทำให้จิ่งห้าวไม่สามารถอดทนต่อไปได้
จิ่งห้าวก้าวเข้าสู่ลานประลองพร้อมกับดาบที่ปลดปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกมา และข้างหลังของจิ่งห้าวก็ปรากฏดาบที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ มันเป็นจิตวิญญาณดาบของจิ่งห้าว
“จิ่งห้าวไม่ต้องการเสียเวลาใดๆ เขาเริ่มใช้จิตวิญญณดาบของเขาทันทีตั้งแต่ก้าวขึ้นมายังลานประลอง เขาต้องการแสดงพลังให้หลินเฟิงเห็นถึงความแตกต่างของพลัง”
เหล่าผู้คนรู้ว่าจิ่งห้าวตั้งใจจะทำอะไร เขาต้องให้หลินเฟิงรู้ว่าพลังของเขามีมากขนาดไหน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา หลินเฟิงเปรียบเสมือนคนธรรมดาๆ
“ดึงดาบของเจ้าออกมาซะ ข้าจะให้โอกาสเจ้าโจมตีก่อน 3 ครั้ง ก่อนที่ข้าจะโจมตีเจ้า และโชว์ให้ข้าดูหน่อยว่าพลังอันน้อยนิดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้บ้างในการโจมตี 3 ครั้งนี้” จิ่งห้าวกล่าวขณะถือดาบอยู่ในมือ และมองหลินเฟิงอย่างดูถูก
หลิงเฟิงยิ้ม และเริ่มใช้ทักษะตัวเบาเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทราทันที เสมือนแสงจันทร์ในเวลากลางวัน หลินเฟิงหายไปจากสายตาและปรากฏตัวด้านหน้าจิ่งห้าว หลินเฟิงใช้ทักษะอัสนีคำรามกวัดแกว่งดาบตรงไปที่จิ่งห้าว เมื่อการโจมตีของหลินเฟิงมาถึงด้านหน้าของจิ่งห้าว หลินเฟิงได้รวบรวมพลังทั้งหมดไปที่ปลายดาบ และแทงไปที่จิ่งห้าว เสียงดังสนั่นแผดกระจายไปทั่วบรรยากาศ
“แข็งแกร่งมาก เขาใช้ทักษะอัสนีคำรามได้อย่างเชี่ยวชาญแล้วจริงๆ” เมื่อฝูงชนได้ยินเสียงที่แผดดังออกมา ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว เสียงที่ดังออกมาจากการโจมตีของหลินเฟิงมันคล้ายกับฟ้าผ่าที่ตกมาจากฟ้า และระเบิดออกเมื่อมันกระทบกับเป้าหมาย เสียงที่แผดดังออกมาอาจจะทำให้เหล่าศิษย์ที่เฝ้าดูจากระยะไกลเกิดอาการหวาดกลัวได้เช่นกัน
สีหน้าของจิ่งห้าวดูไม่ค่อยจะกังวลมากนักเท่าไหร่ แต่เขาได้ประเมินพลังของหลินเฟิงต่ำเกินไป
เสียงอัสนีคำรามดังสนั่นทำให้อากาศในหุบเขาเริ่มสั่นสะเทือน ดาบมายาที่ทรงพลังโผล่ขึ้นมาในอากาศด้านหน้าของจิ่งห้าวและเป็นโล่ปกป้องเขา
“โอกาสครั้งแรกของเจ้า” จิ่งห้าวกล่าวเยาะเย้ย
หลินเฟิงไม่สูญเสียสมาธิใดๆ เขาเชื่อในพลังและความสามารถของตัวเขาเอง เสียงคำรามของอัสนีเริ่มที่จะดังปะทุขึ้นอีกครั้งเมื่อหลินเฟิงเตรียมที่จะโจมตีครั้งที่สอง การโจมตีครั้งนี้มันจะแข็งแกร่ง และทรงพลังมากกว่าการโจมตีครั้งแรก
จิ่งห้าวยังคงป้องกันอย่างเดียว และไม่โจมตี เขาใช้ดาบมายาของเขาเป็นโล่ด้วยความรู้ในระดับการบ่มเพาะพลังที่สูงของเขา และจิตวิญญาณดาบของเขา เขาสามารถรับการโจมตีรูปแบบไหนก็ได้
หลินเฟิงเริ่มที่พุ่งเข้าไปโจมตีจิ่งห้าวรอบที่สอง แต่จู่ๆดาบที่เขาถืออยู่ เขาเริ่มที่คลายด้ามจับออก และปาดาบผ่านอากาศไปที่จิ่งห้าว
“เขากำลังจะทำอะไร?”
ฝูงชนตกตะลึงเมื่อเห็นการกระทำของหลินเฟิง หลินเฟิงได้รวบรวมพลังปราณทั้งหมดของเขาไว้ที่ปลายดาบและปาดาบไปที่จิ่งห้าว ถ้าจิ่งห้าวรับการโจมตี จิตวิญญาณดาบของเขาจะได้รับความเสียหายจากการปะทะ แต่จิ่งห้าวก็ไม่มีทางเลือกเขาต้องรับการโจมตีของหลินเฟิง
จิ่งห้าวรู้สึกตกตะลึงเป็นครั้งที่ 2 แล้วก็ยิ้มออกมา หลินเฟิงมันคิดจริงๆหรือว่าการโจมตีเช่นนี้มันจะทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บได้?
จิ่งห้าวเริ่มถอยหลัง ขณะที่กวัดแกว่งดาบด้วยท่วงท่าที่สง่างามและทำให้การโจมตีของหลินเฟิงไม่เหลือพลังอำนาจใดๆ และซัดมันปลิวลอยขึ้นไปในอากาศ
หลังจากที่หลินเฟิงได้ปาดาบไปที่จิ่งห้าวแล้วนั้นเขาได้พุ่งเข้าใสจิ่งห้าวด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อไปที่จิ่งห้าวด้วยทักษะตัวเบาเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทราราวกับว่าเท้าของเขาไม่ได้แตะพื้น และหายตัวไปก่อนที่ทุกคนจะเห็นหลินเฟิง
“โอกาสครั้งที่สอง” จิ่งห้าวกล่าวขณะที่จ้องมองหลินเฟิงที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เขาไม่รู้สึกถึงความคุกคามใดๆราวกับเขากำลังเล่นกับหลินเฟิง หลินเฟิงโผล่มาที่ด้านหน้าของจิ่งห้าว และดาบที่เขาปามาตอนแรกก็ตกลงบนพื้นด้านหลังเขา
“เจ้าอยากร่นหาที่ตายจริงๆหรือ?” จิ่งห้าวกล่าว , หลินเฟิงเริ่มจู่โจมจิ่งห้าวด้วยกำปั้นของเขา แต่จิ่งห้าวก็ยังไม่ตอบโต้ เขาต้องการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของพลังระหว่างเขากับหลินเฟิง แต่เขากลับถูกทำให้อับอายอีกครั้งโดยหลินเฟิง
จิ่งห้าวได้ยินหลินเฟิงกล่าวบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขาตกใจ : “พอแล้ว ข้าเบื่อที่จะเล่นแล้ว”
หลินเฟิงหยุดอยู่ตรงหน้าจิ่งห้าว และจ้องมองมันด้วยสายตาอาฆาต และทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามของสายฟ้าดังสนั่น แสงสว่างตัดผ่านอากาศระหว่างทั้งสองร่างก่อนที่จะหายไปจากสายตา
จิ่งห้าวมึนงง และหวาดกลัวในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ดูเหมือนจิ่งห้าวจะเข้าใจแล้วว่าหลินเฟิงต้องการที่จะสื่ออะไร จิ่งห้าวไม่ได้ผู้ล่าในการต่อสู้ครั้งนี้ และเป็นหลินเฟิงที่กำลังเล่นกับเขาแทน ผลลัพธ์มันจะแตกต่างออกไปไหมถ้าเขาไม่ได้ดูถูกหลินเฟิงโดยให้โอกาสโจมตีก่อน 3 ครั้ง? จิ่งห้าวไม่มีโอกาสที่จะเสียใจในการกระทำของเขา
“โอกาสครั้งที่สาม” หลินเฟิงกล่าว เสียงของเขาทำให้บรรยากาศรอบๆลานประลองเงียบสนิท
จิ่งห้าวยังคงยืนอยู่ตรงกลางลายประลองต่อหน้าทุกคนทำให้ทุกคนประหลาดใจ หลินเฟิงเดินผ่านจิ่งห้าวอย่างสบายๆ และหยิบดาบที่เขาปามาก่อนหน้านี้ และพื้นในลานประลองตกอยู่ในความเงียบสนิท ทุกคนล้วนได้ยินคำพูดของหลินเฟิงที่ดังสะท้อนไปทั่วหุบเขา ร่างของจิ่งห้าวร่วงลงกับพื้นพร้อมกับเลือดที่ไหลออกมาจากคอ
ฝูงชนที่มุงดูล้วนแต่ตกอยู่ในอาการมึนงง และไม่อย่างเชื่อในสายตาของตัวเองว่าจิ่งห้าวพ่ายแพ้?
หลินเฟิงโจมตีจิ่งห้าวได้อย่างไร?
“ทักษะหนึ่งดาบสังหาร” ในฝูงชนมีศิษย์ชนชั้นสูงอยู่หลายคน พวกเขาสามารถเห็นแสงจากดาบที่ผ่านร่างของจิ่งห้าว เพราะการกวัดแกว่งดาบของหลินเฟิงมันเร็วมาก ราวกับอุกกาบาตที่บินผ่านท้องฟ้าก่อนที่จะหายไป
ทันใดนั้นฝูงชนเริ่มที่จะพูดคุยแสดงความคิดเห็นไปต่างๆนาๆ พวกเขาไม่อาจจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็นได้
ศิษย์อันดับ 6 พ่ายแพ้ต่อหลินเฟิง และผลของการต่อสู้ทำให้จิ่งห้าวต้องตาย
“เขาเป็นใครกัน?”
ทุกคนล้วนสงสัยว่าศิษย์คนไหนกล้าที่จะฆ่าคน 2 คนในครั้งเดียว เขาสามารถเอาชนะจิ่งห้าวผู้ที่อยู่ในขั้นที่ 9 ของขอบเขตพลังปราณได้ และเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนิกาย? หลินเฟิงได้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง และไม่มีใครสงสัยฝีมือของเขาหลังจากที่ได้เห็น ข่าวที่จิ่งห้าวได้พ่ายแพ้ให้กับใครบางคนกำลังแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็วภายในนิกายหยุนไห่
ขณะนั้น ด้านบนของหุบเขาผู้คนจำนวนมากกำลังพูดถึงการโจมตีครั้งสุดท้ายของหลินเฟิง
ไม่ไกลจากหุบเขา ภายในหอดวงดารามีชายชราผู้หนึ่งกำลังพักผ่อนและจ้องมองดูการต่อสู้อยู่ห่างๆ เขายิ้มออกมาและพูดเบาๆ“เจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นได้เรียนทักษะหนึ่งดาบสังหารจนถึงขั้นเชี่ยวชาญแล้วรึ ช่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
ชายชราที่ครั้งหนึ่งเขาได้พบเจอกับหลินเฟิงที่หอดวงดารา ที่ได้เตือนหลินเฟิงจากทักษะที่เขาเลือก ชายชราไม่คิดว่าดาบที่เขาได้มอบให้เป็นของขวัญแก่ศิษย์รุ่นเยาว์ที่น่าสนใจคนหนึ่ง จะปรากฏในลานประลองแห่งชีวิต เขาเลยรู้ว่าศิษย์ที่อยู่ในลานประลองเป็นหลินเฟิง
ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนเป็นสถานที่ที่ศิษย์ของนิกายหยุนไห่จำนวนมากเลือกที่จะมาฝึกฝนในที่แห่งนี้ เพื่อบ่มเพาะพลัง และฝึกฝนทักษะที่ใช้ในการต่อสู้จริง ศิษย์ระดับต้นๆของนิกาย และศิษย์ชั้นสูงพวกเขาส่วนมากจะพำนักอยู่ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนแห่งนี้
นอกจากชายชรา จิ้งยวิ๋น และหานหมาน ผู้ที่รู้ว่าใครเป็นคนฆ่าจิ่งห้าว และยังมีชายคนนั้นชื่อว่า กัวไห่ ที่รู้ด้วย เขาวางแผนจะใช้ความตายของหลินเฟิงเป็นข้ออ้างในการข่มขู่จิ้งยวิ๋น แต่ผลลัพธ์มันกับกลับตาลปัตรโดยฝีมือของหลินเฟิง ต่อมาหลังจากที่พวกเขามองดูศพของจิ่งห้าวเสร็จแล้วเขาก็จ้องมองหลินเฟิง และอีก 2 คนว่าสวมชุดอะไรอยู่เพื่อที่จะได้สือว่าพวกเขาเป็นใครมาจากไหน เขารู้ทันทีว่าเป็นหลินเฟิง เพราะเขาสะกดรอยตามพวกหลินเฟิงตั้งแต่พวกเขาเข้ามายังในหุบเขาแห่งนี้ นี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการของพวกเขาที่จะใช้จิ่งห้าวฆ่าหลินเฟิง และหานหมาน จากนั้นก็รับจิ้งยวิ๋นเป็นรางวัล
กัวไห่ ได้ดูหลินเฟิงฆ่าจิ่งห้าว มันเป็นผลลัพธ์ที่เขาไม่คาดคิดมากก่อน เขากลัวมาก และพยายามที่จะหลบหนี เพราะเขารู้ว่ารายต่อไปจะต้องเป็นเขาแน่นอน
“เจ้าต้องการออกไปจากที่แห่งนี้รึ… มันยังเร็วไปที่เจ้าจะออกไปได้” หลินเฟิงพูดกับกัวไห่ด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น หลินเฟิงรู้ว่ากัวไห่ เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง จิ่งห้าว
กัวไห่หยุดนิ่ง และสั่นเทาถึงกระดูกสันหลัง พร้อมกับรู้สึกถึงสายตาอันเยือกเย็นของหลินเฟิงทิ่มแทงแผ่นหลังของเขา
เมื่อกัวไห่ได้ยินหลินเฟิงพูด เขาจึงหันหลังกลับไป และยิ้มให้หลินเฟิง เขายิ้มเพื่อกลบเกลื่อนความหวาดกลัวทำให้หน้าตาของเขาอัปลักษณ์ยิ่งขึ้น
“เจ้าจะต้องเข้าใจผิดแน่ๆศิษย์น้อง ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้!” กัวไห่พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ และแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขา คือ หลินเฟิง
“โอ้ เจ้ากำลังพูดโกหก และบอกว่าเจ้าไม่รู้จักข้ารึ?” หลินเฟิงกล่าวพร้อมกับยิ้ม แต่ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน
“โปรดรู้ไว้ด้วยว่าพวกเราอยู่ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน ไม่ใช่อยู่ในลานประลองแห่งชีวิต เจ้าไม่สามารถทำอะไรบุ่มบ่ามได้ในที่นี้” น้ำเสียงของกัวไห่เต็มไปด้วยความสั่นกลัว และสามารถรู้สึกถึงเจตนาที่จะฆ่าของหลินเฟิงได้
“ข้ารู้” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส
“ตูมมม!”
คลื่นที่ทรงพลังและหนักหน่วงพุ่งเข้าใสกัวไห่อย่างฉับพลัน ทำให้กัวไห่ถูกกดดันลงไปนอนอยู่บนพื้น กัวไห่ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยที่จะชนะหลินเฟิงได้ เขาจึงไม่ยายามที่จะต่อต้านใดๆ ขนาดหลินเฟิงยังฆ่าจิ่งห้าวได้ แล้วเขาจะมีพลังที่จะต่อต้านหลินเฟิงอย่างนั้นหรือ?
หลินเฟิง คว้าตัวของกัวไห่ด้วยมือข้างเดียว และโยนมันเข้าไปในลานประลองแห่งชีวิต หลินเฟิงดึงดาบของเขาออกมา และเดินเข้ามาใกล้กัวไห่ ที่กำลังดิ้นรนพยายามจะลุกขึ้นหลังจากที่กระแทกเข้ากับพื้นหินของลานประลองอย่างหนัก
“ตอนนี้เจ้าอยู่ในลานประลองแห่งชีวิตแล้ว เพราะงั้นมันก็ไม่มีปัญหา”
ฝูงชนที่กำลังมองดูหลินเฟิงพวกเขาถึงกับพูดไม่ออกเพราะตกตะลึงกับการกระทำของหลินเฟิง ทำไมเขาถึงบ้าบิ่นขนาดนี้?
“นี่ไม่ใช่การตัดสินใจของข้า ข้าไม่ได้ยินยอมที่จะก้าวขึ้นมาในลานประลองด้วยตัวข้าเอง เจ้ากำลังฝ่าฝืนกฏของนิกายด้วยการกระทำเช่นนี้ เจ้ากล้าที่จะทำผิดกฏของนิกายเช่นนั้นหรือ?” กัวไห่ไม่คิดว่าหลินเฟิงมันจะโยนเขาเข้ามาในลานประลอง เขาเริ่มกลัวจนตัวสั่นตั้งแต่หัวจรดเท้า
ทันใดนั้น จู่ๆก็มีแสงสว่างตัดผ่านร่างของกัวไห่อย่างกระทันหัน ทำให้หัวของกัวไห่ลอยขึ้นไปในอากาศ
“นิกายมันมีกฏเช่นนั้นจริงๆงั้นหรือ? ดูเหมือนข้าจะฝ่าฝืนกฏไปซะแล้ว”
หลินเฟิงกล่าวด้วยความโกรธ ขณะที่เขาเก็บดาบเข้าไปในปลอกดาบ
ถ้านิกายมีกฏเช่นนั้นจริงๆ มีหรือที่หลิ่ว เฟยจะกล้าหยิบธนูของนางออกมา และพยายามไล่ฆ่าเขา โดยไม่พูดอะไร?
กฏเหล่านี้เห็นได้ชัดว่ามันจะไม่มีผลกับศิษย์ทุกคน ถ้าแข็งแกร่งพอ และมีสถานะสูงภายในนิกาย
หลินเฟิงไม่ค่อยมีความสุขกับการฆ่าคนเท่าไหร่นัก ในชีวิตก่อนหน้านี้ของหลินเฟิง ถ้าฆ่าคนอื่นจะถูกตัดสินประหารชีวิต แต่ในโลกแห่งนี้มีหลายคนพยายามที่จะฆ่าเขา แม้ว่าหลินเฟิงจะไม่มีความแค้นใดๆต่อพวกเขาก็ตาม ทำให้หลินเฟิงเข้าใจโลกนี้มากขึ้น ว่าผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอด มันเป็นโลกที่โหดร้าย ดังนั้นถ้ามันผู้ใดต้องการที่จะฆ่าเขา เขาก็จะฆ่าพวกมันอย่างไร้ความปราณีไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหนหรือเพศใดก็ตาม มันผู้นั้นจะต้องถูกตัดหัวด้วยดาบของเขา
หลินเฟิงกลับไปหาหาน หมาน ที่นั่งอยู่ขอบลานประลองด้วยรอยยิ้ม และหาน หมานกล่าวกับหลินเฟิงว่า“ข้าไม่สงสัยเลยว่าทำไมเจ้าถึงฆ่าพวกมัน”
“จะกฏอะไรก็ช่าง แต่พวกมันก็ได้ตายไปแล้ว” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม
และพวกเราก็อยู่อย่างสงบสุขไปตลอดกาล
เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น