ตอนที่ 14 การต่อสู้ในลานประลองแห่งชีวิต Part 2
จิ้ง ยวิ๋น ยังคงยืนอยู่ข้างๆหลินเฟิง นางอยู่ในขั้นที่ 7 ของขอบเขตพลังปราณเท่านั้น นางอ่อนแอเกินไปที่จะปล่อยให้ยืนอยู่คนเดียว ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 7 ถือว่าเป็นระดับที่ต่ำมากในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนแห่งนี้ ดังนั้นนางจึงอ่อนแอเกินไปที่จะออกไปต่อสู้กับศิษย์คนอื่นๆได้
หาน หมานเข้าใจเจตนาของหลินเฟิงดีที่ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว ถ้าหลินเฟิงยืนอยู่เคียงข้างหลินเฟิงก็จะเอาแต่ปกป้องเขา แล้วเขาจะไม่สามารถต่อสู้เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆได้เลย มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับหาน หมานที่จะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเองตั้งแต่นี้เป็นต้นไป
การเดินเพียงลำพังในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนใช้เวลาไม่นานนักก็จะมีคนเดินเข้ามาท้าต่อสู้เอง เขาสามารถเห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยเจตนากระหายการต่อสู้ผ่านชายผู้สวมหน้ากากได้
ไม่ต้องพูดให้เสียเวลาใดๆ ชายผู้สวมหน้ากากพุ่งโจมตีใส่หาน หมานทันที พร้อมกับปล่อยหมัดที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณ
“โชคร้ายจริงๆ, หาน หมานวิ่งเข้าหาผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9” หลินเฟิงกล่าวพร้อมกับยิ้มขณะยืนมองอยู่ระยะไกลๆ หาน หมานได้ประเมินระดับพลังของฝ่ายตรงข้ามจากพลังปราณที่ปลดปล่อยออกมาจากกำปั้นของมัน เขาไม่มีเวลาที่จะต้องกังวลเรื่องความแตกต่างของพลัง ; หาน หมานรวบรวมพลังปราณภายในร่างมาไว้ที่กำปั้นของเขา แล้วปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่เขามี และปล่อยหมัดที่ทรงพลังออกไป พร้อมกับตะโกน
หลังจากปล่อยหมัดที่ทรงพลังออกไปทำให้หาน หมานกระเด็นถอยหลังไป 2-3 เมตร แต่อีกฝ่ายกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว มันเหมือนกับว่าหมัดที่เขาปลดปล่อยออกไปพุ่งเข้าชนกับกำแพงเหล็ก เห็นได้ชัดว่าเพียงแค่การแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเดียวก็เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม
“ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8…. อ่อนแอจริงๆ ข้าคิดว่าข้าจะได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์สักเล็กน้อย มันน่าผิดหวังมาก.. ” ฝ่ายตรงข้ามพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส จากนั้นเขาก็หันหลังและเริ่มออกไปจากที่นี่
“เดี๋ยว.. เดี๋ยวก่อน!” หาน หมานตะโกน
หาน หมานเพิ่งเข้าหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนเป็นครั้งแรก แล้วเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆได้อย่างไร? ทันใดนั้นหาน หมายได้ปลดปล่อยพลังของจิตวิญญาณของเขา แสงสีเหลืองเริ่มล่องลอยปกคลุมทั่วร่างกายของเขา เขาเริ่มดูดซับพลังของผืนปฐพีที่อยู่ใต้เท้าของเขา ทำให้พลังปราณของเขาเริ่มที่จะแข็งแกร่งขึ้น
“จิตวิญญาณปฐพี” ฝ่ายตรงข้ามกล่าวออกมาอย่างกระทันหัน และหันมาสนใจอีกครั้ง: “จิตวิญญาณของเจ้าก็ไม่เลว แสดงให้ข้าดูหน่อย ว่าเจ้าสามารถจะรับหมัดเต็มแรงของข้า 3 หมัดได้หรือไม่”
หลังจากฝ่ายตรงข้ามพูดจบ เขากระโจนเข้าใส่หาน หมานอย่างรวดเร็ว และปรากฏตัวต่อหน้าหาน หมาน
“ตูม”
ทันใดนั้นแสงสีเหลืองที่ล้อมรอบตัวหาน หมานก็เปล่งแสงสว่างไปทั่ว หาน หมานถูกทำให้ถอยร่นไปข้างหลัง 6 ก้าวและมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเตรียมพร้อมที่จะปล่อยหมัดอีกครั้ง
“เข้ามา” หาน หมานกล่าวขณะที่เช็ดเลือดที่มุมปากของเขา จิตวิญญาณของเขาทะยานขึ้นฟ้า แสงสีเหลืองที่ล้อมรอบร่างกายของเขาสว่างขึ้น ราวกับว่ามันกำลังดูดพลังทั้งหมดของผืนปฐพี
“ตูมมมมมมมมมม”
หาน หมานถูกบังคับให้ถอยหลังไป 8 ก้าว ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามถอยหลังเพียง 3 ก้าว
“ยอดเยี่ยม!” ฝ่ายตรงข้ามกล่าว หมัดของเขาเริ่มเปล่งแสงสีขาวออกมา และกล่าวเตือนหาน หมานว่า : “ระวังด้วย หมัดที่ข้ากำลังจะปล่อยออกไปมันเป็นหนึ่งในทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า”
“เข้ามา” หาน หมานตอบกลับ ขณะที่เริ่มพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้าม การก้าวเดินแต่ละก้าวของหาน หมานทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับเป็นม้าศึกที่วิ่งด้วยความเร็วเต็มกำลังไปยังสนามรบ
“แสดงความแข็งแกร่งของเจ้าออกมา ที่หยิบยืมพลังมาจากผืนปฐพี” หลินเฟิงตะโกนขณะเฝ้ามองดูจากระยะไกล หลิงเฟิงไม่คิดว่าหาน หมานจะใช้จิตวิญญาณของเขาในแบบที่ไม่เหมือนใคร การผสมผสานพลังระหว่างจิตวิญญาณปฐพี และพลังของผืนปฐพีที่อยู่ใต้เท้าของเขาจะช่วยเพิ่มพลังให้เขาได้อย่างมหาศาล
“ตูมมม!” หมัดทั้งสองคนได้ปะทะกัน คลื่นพลังที่ปะทะกันระหว่างหาน หมาน และฝ่ายตรงข้ามทำให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ทำให้ไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เมื่อฝุ่นละอองหายไป หาน หมานกำลังนั่งสมาธิอยู่บนพื้นดิน
“เจ้าสามารถเข้าใจในสิ่งที่คนอื่นกล่าวได้อย่างรวดเร็ว ยอดเยี่ยมมาก” ฝ่ายตรงข้ามกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา และลุกขึ้นจากพื้น เขามีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก เขาไม่คิดว่าการโจมตีครั้งสุดท้ายของหาน หมานจะทรงพลังขนาดนี้ ถึงจะบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มันก็คุ้มค่าสำหรับเขา เพราะเขาได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างที่มีค่ามากจากการต่อสู้ครั้งนี้
เขาไม่อยากเสียเวลาอยู่กับหาน หมานมากนัก และจากไปโดยทันที
“ช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ” หลินเฟิงกล่าวขณะกำลังเดินไปหาหาน หมาน เขารู้สึกนับถือศิษย์ที่หาน หมานได้ต่อสู้ด้วย “เขาเป็นคนที่มีเกียรติ”
หลินเฟิง และจิ้ง ยวิ๋น มั่นใจว่า หาน หมานได้เรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณของเขามากมาย และเข้าใจถึงเส้นทางบ่มเพาะพลังของเขาได้มากขึ้น หลินเฟิง และจิ้ง ยวิ๋นพวกเขาไม่ต้องการรบกวนหาน หมาน พวกเขานั่งข้างๆ และรอให้หาน หมานนั่งสมาธิเสร็จ
การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้ หาน หมานได้เก็บเกี่ยวความรู้มากมาย มันจะไม่แปลกเลยถ้าความแข็งแกร่งของหาน หมานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า เมื่อเขาเข้าใจความรู้ใหม่ได้อย่างแจ่มแจ้ง หลินเฟิง และจิ้ง ยวิ๋นรู้สึกชื่นชมหาน หมาน เขาเข้ามายังหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนเป็นครั้งแรก และได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากต่อสู้ครั้งแรกของเขา
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆ ร่างกายของหาน หมานก็เริ่มเปล่งแสงพลังปราณที่แข็งแกร่งออกมา ทำให้หลินเฟิง และจิ้ง ยวิ๋น มึนงง และมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
“ความแข็งแกร่งที่ทรงพลัง และไม่เหมือนใคร มันทำให้รู้สึกเหมือนถูกกดขี่อยู่ลึกๆ นี่มันเป็นพลังของการรู้แจ้งจริงๆหรือ?” หลินเฟิงคิด
บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังมันเป็นเส้นทางที่ไม่มีที่สิ้นสุด และมีเส้นทางที่แตกต่างกันไปมากมาย แล้วแต่ผู้บ่มเพาะพลัง หลินเฟิงเพียงแค่เพิ่งเริ่มเดินบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลังเท่านั้น เขาไม่สามารถจิตนาการพลังของผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งได้ว่าจะมีมากขนาดไหน และเขารู้ว่าผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งสามารถทำลายภูเขา หรือบดขยี้เมืองได้อย่างง่ายดาย
ว่ากันว่าผู้บ่มเพาะพลังเมื่อบรรลุถึงระดับอมตะสามารถบินขึ้นสู่สวรรค์ได้ และเข้าไปยังส่วนลึกของโลกได้เช่นกัน ผู้บ่มเพาะพลังเหล่านั้นจะมีอายุยืนยาวไม่แก่ไม่ตาย และสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าแสง หลินเฟิงทำได้แค่อิจฉาพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้น พลังของพวกเขาหลินเฟิงทำได้แค่จิตนาการเท่านั้น หลินเฟิงสงสัยว่าถ้าเขาสามารถบินไปยังสรวงสวรรค์ได้ และมองลงมาบนโลกได้มันจะรู้สึกยังไง
ขณะที่หลินเฟิงได้สูญเสียความนึกคิดไปนั้น ได้มีใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปกำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ เมื่อเขาเห็นหาน หมานที่เพิ่งก้าวเดินสำคัญอันยิ่งใหญ่บนเส้นทางการบ่มเพาะ เขาหัวเราะอย่างเยาะเย้ยออกมา
“จงตื่นซะ” เสียงดังกล่าวทำให้บรรยากาศสั่นสะเทือน และทำให้หลินเฟิง และคนอื่นๆตื่นตระหนก
“อ๊ากกกกกกกกกก” หาน หมานตะโกน พร้อมกับกระอักเลือดออกมา และหายใจหนักขึ้น
ดวงตาของหาน หมานกลายเป็นสีแดงเต็มไปด้วยความโกรธ พร้อมกับจ้องมองเงาเงาหนึ่งที่อยู่ห่างไกลออกไป หาน หมานโกรธเพราะถูกขัดขวางการพัฒนาของเขาขณะที่เขาเริ่มเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง นอกจากนี้เสียงที่ส่งออกมานั้นทำให้ร่างกายของเขาได้รับการสั่นสะเทือนขณะที่เขาไร้การป้องกัน ทำให้ต้องกระอักเลือดออกมา
“ช่างอวดดียิ่งนัก” หลินเฟิงกล่าวด้วยนัยน์ตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร จ้องมองเงาที่อยู่ขอบฟ้า มันตั้งที่จะยั่วยุหาน หมาน และขัดขวางตอนเขาบ่มเพาะพลังทำให้ร่างกายของหาน หมานได้รับความเสียหาย
หาน หมานเดินตรงไปยังเงา และถามด้วยความโกรธเกรี้ยว: “ทำไมเจ้าถึงขัดจังหวะข้า?!”
“ไม่มีอะไรมาก ข้าทำเพื่อความบันเทิงของข้า” มันผู้นั้นไม่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าใดๆ และยิ้มล้อเลียนบนใบหน้าของมัน ไม่มีใครเคยเห็นศิษย์ผู้นี้มาก่อน หรือไม่เคยได้ยินว่าจะมีผู้ที่กล้าทำเช่นนี้
“เจ้าคิดว่ามันสนุกมากนักรึ?!”หาน หมานกล่าวขณะก้าวเดินไปข้างหน้า ความโกรธเกรี้ยวแผ่กระจายไปทั่วร่างของเขา เขารู้ว่าแสงของการรู้แจ้งกว่ามันจะปรากฏออกมามันหาได้ยากยิ่ง แต่มันผู้นั้นกลับตั้งใจขัดจังหวะของเขา ขณะที่เขาอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญ และทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ
“เห้~~ เจ้าอยากจะสู้กับข้า? แต่มันจะไม่สนุกมากนักถ้าต้องต่อสู้ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนนี้ ถ้าเจ้าต้องการที่จะแก้แค้นล่ะก็ ทำไมเจ้าไม่มาที่ลานประลองแห่งชีวิตล่ะ?” ชายหนุ่มผู้นั้นถามกลับด้วยความหยิ่งผยอง และเผยให้เห็นความเกลียดชังต่อหาน หมาน
“ย่อมได้” หาน หมานตอบกลับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และพยายามความคุมความโกรธเกรี้ยวของเขาที่มีต่อมัน
“ข้าจะรอเจ้าที่นั้น” ชายหนุ่มกล่าวขณะที่เดินตรงไปยังทิศทางที่มีลานประลองแห่งชีวิตตั้งอยู่
“หาน หมาน มันการตัดสินใจที่ยาก แต่ความแข็งแกร่งของมันเมื่อเทียบกับเจ้าแล้ว การที่เจ้าจะไปลานประลองแห่งชีวิตมันอันตรายมาก” หลินเฟิง กล่าวเตือนหาน หมาน
“ข้ามั่นใจในความแข็งแกร่งของข้า เพียงแค่ชำเลืองมองข้าก็เห็นพลังของมันอยู่ในระดับเดียวกับข้าขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณ” หาน หมานตอบกลับ ทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจ หาน หมานสามารถรู้ถึงระดับการบ่มเพาะพลังของผู้อื่นได้?
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า แต่ข้าสามารถรู้สึกถึงระดับการบ่มเพาะพลังของเจ้า และจิ้ง ยวิ๋นได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะข้าได้รู้แจ้ง บางทีข้าอาจจะอธิบายได้ว่าทำไมข้าถึงรู้ระดับบ่มเพาะพลังของผู้อื่นได้ถ้าข้าไม่ถูกขัดจังหวะ” คำอธิบายของหาน หมานไม่สามารถทำให้หลินเฟิงปักใจเชื่อได้ จากนั้นหาน หมานเดินตรงไปยังลานประลองแห่งชีวิต พร้อมกับกำหมัดของเขาแน่น
“ไปกันเถอะ” หลินเฟิงยังคงไม่ปักใจเชื่อ จิ้ง ยวิ๋น และหลินเฟิงเดินตามหาน หมานและทำเป็นปักใจเชื่อในคำพูดของสหายของเขา ถ้าหาน หมานได้รู้แจ้งแล้วทำให้เขาสามารถเห็นระดับการบ่มเพาะพลังของฝ่ายตรงข้ามได้จริงๆ และฝ่ายตรงข้ามนั้นอยู่ในขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณ มันก็จะไม่เป็นอันตรายต่อหาน หมานมากนัก ถ้าพวกเขาต่อสู้ในขอบเขตพลังที่เท่าเทียมกัน
ลานประลองแห่งชีวิต ตั้งอยู่ในใจกลางหุบเขาลึกในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน และมีที่นั่ง 10 ที่นั่งเหนือลานประลองเพื่อชมการประลอง แต่สถานที่ประลองมันเป็นพื้นที่ที่กว้างขวางมาก สามารถชมการประลองได้จากระยะไกล
เงา 2 เงาได้เข้าไปยังลานประลองแห่งชีวิต ทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้บ่มเพาะพลังแถวๆนั้นทันที และผู้คนจำนวนมากรีบวิ่งมาเพื่อชมการต่อสู้
แม้ว่าจำนวนคนที่เขามาในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนจะมีจำนวนมาก แต่กลับมีคนที่จะเข้ามาในลานประลองแห่งชีวิตน้อยมาก เพราะหลังจากที่เข้ามาในลานประลองแห่งชีวิตมันหมายถึงต้องเดิมพันด้วยชีวิต ถ้าคนที่เข้ามาในที่แห่งนี้ไม่ได้มีความเกลียดชัง หรือความบาดหมางใดๆในหัวใจ แล้วพวกเขาจะเข้ามาทำไม? ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในลานประลองแห่งชีวิตที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกันจะทำให้การต่อสู้ดูน่าสนใจมากขึ้น
ดังนั้นเมื่อหาน หมาน และฝ่ายตรงข้าม เข้ามาในลานประลองเเห่งชีวิต ทำให้ผู้คนจำนวนมากมามุงดู ในหุบเขาเเห่งความป่าเถื่อนเหล่าผู้คนที่เฝ้ารอการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยเลือดนองพื้น พวกเขาจะแพร่ข่าวสารไปยังศิษย์สหายคนอื่นๆที่ชื่นชอบ ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
“พวกเรามาที่ลานประลองแห่งชีวิตแห่งนี้เพื่อชำระความแค้น แต่เป้าหมายของข้าไม่ได้ต้องการชำระความแค้นใดๆ เพราะวันนี้โชคชะตาของเจ้าได้ถูกคนอื่นตัดสินแล้ว” ชายหนุ่มคนนั้นบอกกับหาน หมานพร้อมกับรอยยิ้มอันน่าขยะแขยงบนใบหน้า : “หาน หมาน จงจดจำชื่อข้าไว้ ผู้ที่จะพรากชีวิตของเจ้า ข้าชื่อ: เจียง ฮ่วย”
หลินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างนอกเวทีรู้สึกสั่นสะท้านไปถึงกระดูกสันหลังของเขา เมื่อเขาได้ยิน เจียง ฮ่วย กล่าว เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขารู้ได้อย่างไรว่าภายใต้หน้ากากนั้นเป็นหาน หมาน?
“เจ้ารู้จักข้า?” หาน หมานผู้ที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวกล่าว
“ก็ไม่รู้สินะ” รอยยิ้มอันน่ากลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ เจียง ฮ่วย ทันใดนั้นพลังของเขาเริ่มลุกไหม้ออกมาจากร่างและปรากฏเป็นเปลวเพลิง ในเวลาเดียวกันเงาของเปลวเพลิงได้ปรากฏขึ้นด้านหลังของเขา: จิตวิญญาณแห่งเปลวเพลิง
“เขาเป็นผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ในขั้นที่ 8 ของขอบเขตพลังปราณ” หลินเฟิงกล่าว ขณะที่รู้สึกถึงพลังที่แผ่กระจายออกมาจากลานประลอง
จิตวิญญาณปฐพีของหาน หมานเริ่มที่จะระเบิดพลังออกมา เขาเริ่มวิ่งพุ่งไปข้างหน้า แม้ว่าหาน หมานจะไม่ได้วิ่งด้วยความเร็วมากนัก แต่พลังและความแข็งแกร่งที่ปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาทำให้ทุกย่างก้าวของเขาทำให้พื้นเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
“ระเบิดเพลิง” คลื่นพลังที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงถูกยิงออกมาพุ่งไปยังหาน หมาน เมื่อ เจียง ฮ่วย เห็นหมาน หมานหยุดวิ่งกะทันหัน และตั้งท่าป้องกันราวกับภูเขาที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ เจียง ฮ่วยตะโกน: “ข้าจะทำลายภูเขาลูกนี้ต่อหน้าข้า! ฮ่า ฮ่า ฮ่าาา”
กำปั้นทั้งสองของพวกเขาปะทะกัน หาน หมานและ เจียง ฮ่วยหยุดเคลื่อนไหวทันที ในจุดที่พวกเขาปะทะกัน ทั้งสองมีพลังทัดเทียมกันทำให้ไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้
เจียง ฮ่วยขมวดคิ้วและหยุดหัวเราะ เขาไม่คิดว่าหาน หมานจะแข็งแกร่งขนาดนี้ รอยยิ้มที่เป็นอันตรายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา และปล่อยหมัดซ้ายของเขาออกไป แต่หาน หมานสามารถป้องกันการโจมตีโดยใช้ฝ่ามือของเขาได้อย่างง่ายดาย ทันใดนั้นเขาก็โยนฝุ่นสีขาวจากมือขวาของเขาไปที่ดวงตาของหาน หมาน เขาใช้ผงฝุ่นนี้กับศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเขาเพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามมองไม่เห็น
“ตายซะ!” เจียง ฮ่วย กล่าวพร้อมกับปล่อยหมัดออกไปที่หน้าอกของ หาน หมาน
“ไอสารเลว! ช่างเป็นวิธีที่ไร้ยางอายยิ่งนัก.” หลินเฟิงสาปแช่ง จากนั้นเขาก็เห็นร่างเงาของใครบางคนพุ่งเข้าไปยังลานประลองแห่งชีวิต
“ในลานประลองแห่งชีวิตบางครั้งก็มีการเสียชีวิตเกิดขึ้นบ้าง ไม่ต้องกังวลอีกไม่นานจะเป็นตาของเจ้า จิ้ง ยวิ๋น” เงาร่างนั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น จิ้ง ยวิ๋น ตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของเขา
“จิ่งห้าว ”
นางตะโกนออกมาเสียงดัง นางเห็นศิษย์คนอื่นๆที่อยู่ข้างหลังจิ่งห้าว ,มันเป็นศิษย์ผู้เยาว์ที่ได้รับบาดเจ็บจากหลินเฟิงก่อนหน้านี้ และวันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าทั้งหมดนี่คือกับดักที่เพิ่งจะเริ่มต้น…
เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น