ตอนที่ 13 การต่อสู้ในลานประลองแห่งชีวิต Part 1
หลินเฟิงไม่ฝึกที่หุบเขาแห่งความป่าเถื่อนต่อ เขาตัดสินใจออกจากหุบเขาขณะที่อยู่บนยอดของหน้าผาและมองลงไปข้างล่าง
มองลงไปในหุบเขามันทอดยาวลึกลงไปไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นผู้คนนับพันกำลังฝึกฝนอยู่ด้านล่าง มันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเลือดและเหมาะแก่การบ่มเพาะพลังอย่างแท้จริง ราวกับว่าเป็นวัฒนธรรมของนิกายหยุนไห่ที่จะบ่มเพาะเหล่านักสู้ที่แข็งแกร่ง ที่นี่ ผู้ที่พ่ายแพ้ถึงแม้จะสามารถรักษาชีวิตไว้ได้แต่ก็จะต้องแบกร่างที่ราวกับจะแตกสลายกลับไปที่นิกายหรือไม่ก็ตกตายไป เฉพาะผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เติบโตและผู้ที่อ่อนแอก็จะเป็นได้เพียงปุ๋ยสำหรับผู้ที่แข็งแกร่ง
หลินเฟิงเดินมาถึงรอบนอกของหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน และประหลาดใจที่ได้พบกับสหายของเขา เขามีความสุขมากที่ได้พบกับหานหมานและจิ้งยวิ๋นอีกครั้ง
” หลินเฟิง ” จิ้งยวิ๋นตะโกน นางไม่ได้ปกปิดความตื่นเต้นที่ได้พบกับหลินเฟิงอีกครั้ง
” จิ้งยวิ๋น อ่า ดูเหมือนว่าเจ้าจะสวยขึ้นมากจากครั้งล่าสุดที่พวกเราเจอกัน ” หลินเฟิงกล่าวขณะที่ยิ้มอย่างอายๆ
เมื่อเทียบกับสองสามวันก่อน จิ้งยวิ๋นทั้งดูสวยงามและบริสุทธิ์ขึ้นมาก หลินเฟิงรู้ว่ามันเป็นเพราะยาเพิ่มความงาม แต่เขาไม่คาดคิดว่าผลมันจะออกมาเกินคาดเช่นนี้
จิ้งยวิ๋นเหม่อลอยเมื่อได้ยินที่หลินเฟิงกล่าว มันช่วยไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไป นางพูดด้วยเสียงที่นุ่มนวล ” ทำไมเจ้าถึงกล่าวเช่นนั้น? “
” ฮ่าๆ หลินเฟิงเจ้านี่ช่างกล้ายิ่งนัก จิ้งยวิ๋นนางเขินอายหมดแล้ว ” หานหมานกล่าวอย่างตรงไปตรงมา ” หลินเฟิง แต่เดิมพวกเขาก็เตรียมจะมาหาเจ้าอยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเจ้าที่นี่ “
” หาข้า? ทำไม? เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? ” หลินเฟิงถาม
” หลินเฟิง เจ้าบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 หลังจากที่กลืนเม็ดยาสร้างรากฐานเข้าไป? ” หานหมานจ้องมองไปที่หลินเฟิง เมื่อตอนที่เขาสังหารหมาป่าอเวจีเขาเพียงแค่อยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 7 เท่านั้น ระดับพลังของเขาเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจหลังจากที่บรรลุขั้นที่ 8 ” ใช้ ข้าทะลวงผ่านเมื่อไม่นานมานี้ เจ้ามีธุระอันใดหรือ? ” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม
” ถ้าคนโง่งมอย่างข้าสามารถที่จะบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 ได้รวดเร็วนักละก็ เห็นทีว่าข้าคงจะมีพรวสรรค์ที่เหมือนกับเจ้า ” หานหมานกล่าวขณะยิ้ม ” จิ้งยวิ๋นยังไม่อาจทะลวงได้ นางยังคงต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยก่อนที่จะทะลวงระดับต่อไป ชิงอียังคงไม่ออกมา แต่ข้าคิดว่าเขาคงจะถึงคอขวดแล้ว “
หลินเฟิงพยักหน้า แม้ว่าหานหมานจะมีพฤติกรรมที่โผงผาง แต่เขาก็เป็นผู้ฝึกตนที่มีศักยภาพมากกว่าจิ้งยวิ๋นและชิงอีเล็กน้อย เป็นธรรมดาที่เขาจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 เป็นคนแรก
” หานหมาน เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยทำไมพวกเจ้าถึงตามาหาข้า “
หานหมานเกาหัวและรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เมื่อหลินเฟิงทักท้วง
” หลินเฟิง คือจริงๆแล้ว ข้าก็บรรลุขั้นที่ 8 แล้วเช่นกัน แต่ข้าต้องการที่จะไปหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนเพื่อที่จะทดสอบความแข็งแกร่งของข้า แต่ข้าเกรงว่าจะถูกสังหารโดยผู้ฝึกตนที่โหดเหี้ยม ข้าอยากจะขอร้องเจ้าให้ไปกับข้าหน่อย และถ้าหากพวกเราต้องเผชิญกับศิษย์ที่แข็งแกร่งและเลือดเย็น ข้าอยากให้เจ้าเข้ามาช่วยสักเล็กน้อย ข้าเป็นชายที่สามารถทนการทุบตีได้ไม่เป็นสองรองใคร “
หานหมานยิ้มกว้างขณะขอร้องหลินเฟิง หลินเฟิงเข้าใจถึงสิ่งที่หานหมานต้องการจะสื่อในทันทีและจำเป็นต้องให้เขายื่นมือเข้าไปช่วยถ้าหากชีวิตของหานหมานอยู่ในอันตราย แน่นอนว่าเขาไม่สามารถที่จะปฏิเสธคำขอร้องจากสหายของเขาได้
” แล้วเราจะไปกันเมื่อไหร่? “
” พวกเราจะออกเดินทางกันวันพรุ่งนี้ อันดับแรกข้าต้องไปตะเตรียมหน้ากากเสียก่อน ” หานหมานเห็นหลินเฟิงไม่ลังเลที่จะตอบรับคำขอร้องจากเขา ทำให้เขาถือว่าหลินเฟิงนั้นเป็นสหายอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่ชายคนนี้มีความแข็งแกร่งที่ผิดปกติ แต่เขายังไม่หยิ่งยโสอีกด้วย เขาไม่เคยโต้แย้งและยังแสดงถึงความยุติธรรมอยู่เสมอ ครั้งที่เขาเป็นผู้สังหารเหล่าสัตว์อสูรมากมายในหุบเขาวายุทมิฬ แต่ก็ยังยินดีที่จะแบ่งปันผลตอบแทนทุกอย่างให้แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียม
” ไม่มีปัญหา บอกข้าเมื่อพร้อมแล้วเราจะไปกันในทันที ” หลินเฟิงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
” ข้าจะไปด้วย หากหลินเฟิงอยู่อยู่เคียงข้างข้าและจะปกป้องข้าจะทุกเวลา ข้ารู้ว่าข้าจะปลอดภัยหากข้าได้อยู่เคียงข้างกับเจ้า หลินเฟิง ” น้ำเสียงอันทรงเสน่ห์ทั้งยังคงไร้เดียงสาของจิ้งยวิ๋นกล่าวขึ้นมา ทำให้หลินเฟิงตกตะลึงกับคำกล่าวเหล่านั้น ทั้งหานหมานและหลินเฟิงเบิกตากว้างและจ้องมองไปยังจิ้งยวิ๋น นี่นะหรือเด็กสาวขี้อายเมื่อครู่?
” ทำไมพวกเจ้าถึงมองข้าเช่นนั้น? ” จิ้งยวิ๋นชำเลืองมองพวกเขาและกระทืบเท้าอย่างเขินอาย
” ไม่มีอะไร ช่างมันเถอะ ” หลินเฟิงยิ้มและกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวลราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลินเฟิงและหานหมานแค่แปลกใจในความใจกล้าของนาง ทั้งยังคงแสดงความน่ารักราวกับเด็กไร้เดียงสา หานหมานยังคงแปลกใจที่เห็นท่าทีของนางที่แตกต่างจากเมื่อก่อน เขาตกตะลึงเป็นอย่างมากที่ได้ยินความใจกล้าของนางที่กล่าวว่าจะให้หลิงเฟิงปกป้องตนออกมาตรงๆ
” แน่นอนเจ้าสามารถไปพร้อมกับเราได้ และควรจะเตรียมตัวให้รอบคอบจะได้ไม่เจอปัญหาในภายหลัง ” หลินเฟิงกล่าวขึ้นเมื่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว มีผู้ฝึกตนจำนวนมากที่มีความสามารถไม่ธรรมดาอยู่ในหุบเขา และบางส่วนยังเป็นศิษย์ชั้นสูง ศิษย์เหล่านั้นส่วนใหญ่จะอวดดีและเดินทางเพียงลำพัง พวกเขาจะไม่โจมตีศิษย์ธรรมดาหากไม่ไปยั่วยุพวกเขาก่อน หลินเฟิงนต้องการที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาให้มากที่สุดเมื่อลงไปข้างล่าง เหล่าศิษย์ธรรมดาที่ถูกศิษย์ชั้นสูงสังหาร จะไม่ได้รับการเหลียวแลจากนิกาย เหล่าผู้อาวุโสจะเมินเฉยต่อการกระทำเหล่านั้น
หลินเฟิงโชคไม่ดีที่ไปเจอกับศิษย์ชั้นสูงโดยไม่ได้ตั้งใจ ทั้งศิษย์ที่ต้องการไล่ล่าเขาและศิษย์ชั้นสูงที่อวดเ เขานี่ช่างโชคร้ายเสียจริง
หลังจากตกลงรายละเอียดทั้งหมดแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันไป หลินเฟิงเดินทางกลับไปยังห้องและบ่มเพาะพลังอย่างบ้าคลั่ง เห็นได้ชัดว่าเขายังคงอ่อนแอหากเทียบกับศิษย์คนอื่นๆ พลังของเขาต้องแข็งแกร่งกว่านี้และเขารู้สึกได้ว่าส่วนลึกในจิตใจของเขาเรียกร้องให้เขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เช้าวันถัดมาหานหมานมารับหลินเฟิงและเดินไปหาจิ้งยวิ๋น
นิกายหยุนไห่นั้นกว้างใหญ่ ที่พักของเหล่าศิษย์ธรรมดาจะอยู่รอบๆ ชานเมืองและนี่ก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆของเมืองเท่านั้น
หลินเฟิงและหานหมานได้มาถึงสถานที่นัดพบกับจิ้งยวิ๋น เห็นใบหน้าของหญิงสาวซีดขาวและแสดงถึงความกังวลอย่างชัดเจน มีเด็กหนุ่มรุ่นเยาว์คนหนึ่งยืนอยู่หน้านาง และกำลังพูดคุยกับนางด้วยใบหน้าที่ชั่วร้าย
” จิ้งยวิ๋น เกิดอะไรขึ้นหรือ?” หลินเฟิงก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว
” ไอเศษสวะ! ไสหัวไป! ไม่เห็นหรือไงว่าข้ากำลังคุยกับจิ้งยวิ๋นอยู่? อะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่าสามารถขัดขวางการสนทนาของพวกเราได้? ” เด็กหนุ่มกล่าวออกมาอย่างรุนแรงพร้อมกับแววตาราวกับกำลังข่มขู่ เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักหลินเฟิงคนเก่า
” ในที่สุดเจ้าก็มาหลินเฟิง! ” จิ้งยวิ๋นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มและเมินต่อคำพูดของเด็กหนุ่มตรงหน้า
” เราจะไปกันได้หรือยัง? ” หลินเฟิงกล่าวออกด้วยน้ำเสียงที่ราวกับเย้ยหยันและไม่แม้แต่เหลียวมองไปยังเด็กหนุ่มตรงหน้า ทั้งหานหมาน หลินเฟิงและจิ้งยวิ๋นก้าวเดินออกไปทักทีโดนไม่หันกลับมามอง
” เดี๋ยวก่อน หานหมาน จิ้งยวิ๋น ” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมกับจับไปที่แขนเสื้อของจิ้งยวิ๋น
” ไสหัวไป! เจ้าไม่เห็นหรือไงว่าเรามีเรื่องที่จะต้องทำ อะไรทำให้เจ้าคิดว่าสามารถขัดขวางพวกเราได้? ” หลินเฟิงใช้ประโยคเดียวกันกลับคืนไปให้เด็กหนุ่ม พร้อมทั้งปัดมือของเขาออกจากจิ้งยวิ๋น
คลื่นที่ทรงพลังจากฝ่ามือของหลินเฟิงพุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่ม เขาเพียงใช้พลังออกไปเล็กน้อยเท่านั้น เด็กหนุ่มที่บรรลุขั้นที่ 7 ขอบเขตพลังปราณถูกกระแทกและไถลไปกับพื้นหลายเมตรพร้อมทั้งกระอักเลือดออกมา เขามองไปที่หลินเฟิงด้วยความตื่นตระหนก
” ไสหัวไป ไอเศษขยะ! ” คำกล่าวของหลินเฟิงราวกับการตบหน้า พวกเขายังคงก้าวเดินต่อไป เมื่อมีเศษขยะมายั่วยุหลินเฟิง ช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องสั่งสอนสักเล็กน้อย
” เห้ออ ศิษย์คนนั้นช่างผลีผลามจริงๆ จิ้งยวิ๋น เขาเป็นใครหรือ? ” หานหมานถาม
ใบหน้าของจิ้งยวิ๋นเริ่มปรากฎความตึงเครียดเมื่อนางได้ยินคำถามนั้น นางมองไปยังหลินเฟิงและหานหมานก่อนที่จะกล่าว ” เขากล่าวว่าได้เจอกับหัวของจิ่งเฟิงในหุบเขาวายุทมิฬและเห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยจากการถูกฟันด้วยดาบ ตอนนี้พี่ชายของจิ่งเฟิง จิ่งห้าวกำลังสืบเรื่องราวว่าใครไปกับจิ่งเฟิง เขาจึงเริ่มส่งคนออกหาข้อมูล “
ใบหน้าของหานหมานมืดมนลง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจิ้งยวิ๋นถึงสูญเสียความร่าเริง
” ถ้ามันกล้าที่จะมา ก็ให้มันมา มันก็คงเป็นโชคชะตาอย่างหนึ่ง อย่าได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้เลย ” หลินเฟิงยังอยู่ในท่าทีสงบ
” มันไม่ใช่ศิษย์ชั้นสูงของนิกาย มันคงไม่กล้าที่จะทำอะไรพวกเราในเขตของนิกาย เราต้องระวังให้มากเมื่อไปถึงหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น ” หานหมานกล่าวขึ้น
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน หลินเฟิงมาถึงอย่างรวดเร็วกว่าเมื่อตอนที่เขาซ่อนพลังเอาไว้ แม้กระทั่งตกตะลึงกับความเร็วของตนเอง
ภายในหุบเขา พวกเขาเห็นป้อมปราการที่ทำขึ้นจากดินแข็ง ป้อมปราการดินนั้นครอบคุมไปทั่วพื้นที่ขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าศิษย์หลายสิบคนอาศัยอยู่ในห้องกว้าง แม่ว่ามันจะทำมาจากดินแต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้แต่พายุที่บ้าคลั่งก็ไม่อาจจะที่จะสร้างความเสียหายแก่มันได้ ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนเหล่าศิษย์จะสร้างที่พักที่เป็นเอกลักษณ์ของตนขึ้นมา
เพียงชั่วครู่ก็มีเงาออกมาจากป้อมดิน เป็นคนสวมหน้ากากและออกจากบ้านอย่างระมัดระวัง เขาจ้องมองไปที่หลินเฟิงและอีกสองคนชั่วครู่ก่อนที่จะเผ่นหนีไปด้วยความตกใจอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนตกตะลึง
หลินเฟิงและคนอื่นๆเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเราทุกคนมองไปยังคนอื่นทีละคนและยิ้มให้ ผู้คนที่อยู่ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนไม่ได้อ่อนแอ เพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนบรรลุขั้นที่7หรือ8 ขอบเขตพลังปราณเป็นอย่างน้อย บางคนก็สูงกว่านั้น มีทักษะที่แตกต่างกันจำนวนมากที่ถูกฝึกฝนโดยศิษย์นับพันในหุบเขาและมันเป็นปกติที่จะพบกับทักษะที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ในสถานการณ์นั้นผู้ที่ไม่ล่าถอยเมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มคนสามคน ผู้ที่กำลังใกล้เข้ามา
ทั้งสามคนมาพร้อมกับเจตนาฆ่าฟันที่รุนแรง มีหรือที่ศิษย์ที่อยู่คนเดียวจะไม่เกรงกลัว? มันเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ไม่ยากในที่แห่งนี้
” ดูเหมือนว่าข้าจะต้องข่มขวัญคนอื่นให้มากขึ้น ” หลินเฟิงกล่าวพร้อมทั้งยิ้มและเคลื่อนกายออกไป มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับหานหมานที่จะเพิ่มพูนประสบการณ์ต่อสู้ หลินเฟิงต้องคอยสนับสนุนเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่พบเจออันตรายที่ไม่คาดฝัน
เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น