ตอนที่ 12 จิตวิญญาณของหลินเฟิง
เมืองหยางโจว คฤหาสตระกูลหลิน หลิน ไห่นั่งอยู่ภายในห้องอย่างโดดเดี่ยวขณะจ้องมองภาพที่ติดอยู่บนผนัง
มันเป็นภาพของสตรีผู้เลอโฉมนางหนึ่ง ดวงตาสีน้ำเงินเข้มของนางงดงามราวกับมหาสมุทรที่นิ่งเงียบสงบ และไหล่ของนางโอบล้อมด้วยสัตว์อสูรทำให้ศัตรูรู้สึกถูกข่มขวัญ มันดูเหมือนงูแต่มันไม่มีความกดดันเหมือนงู มันเงยหัวขึ้นสูงแล้วจ้องมองลงบนเบื้องล่างราวกับเป็นพระเจ้าบรรพกาลมองดูสิ่งมีชีวิตตัวเล็กตัวน้อย ดวงตาของมันราวกับสามารถเผาไหม้จิตวิญญาญของผู้ที่จ้องมองภาพได้และตราตรึงจิตใจของพวกเขา
“เมิ้ง เหอ ดูเหมือนว่าหลินเฟิงน้อยในที่สุดเขาก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าได้เห็นหลายสิ่งหลายอย่างมากมายทีคล้ายคลึงกับเจ้าในตัวเขา และเขาก็ได้รับสืบทอดจิตวิญญาณของเจ้า บางทีเขาอาจจะไม่รู้ว่าจิตวิญญาณที่เขามีอยู่มันคืออะไร แต่เมื่อใดที่จิตวิญญาณของเขาตื่นขึ้น เขาจะได้เห็นของขวัญที่แม่มอบให้เขา
“เมื่อวันนั้นมาถึงจิตวิญญาณงูที่ดูเหมือนขยะจะต้องทำให้โลกนี้ต้องสั่นสะเทือน ลูกชายของพวกเราไม่เคยเป็นขยะ เขามีศักยภาพแฝงเร้นซ่อนอยู่ภายในตัวเขา”
หลินไห่ ยืนอยู่ตรงหน้าภาพบนผนัง และพูดพึมพำกับตัวเองด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความรัก และความโศกเศร้า
“ทุกคนคิดว่าข้าได้สูญเสียความทรงจำ แต่ข้าไม่สามารถลืมเรื่องของนางได้ในช่วงชีวิตของข้า เมื่อจิตวิญญาณของหลินเฟิงตื่นขึ้น ข้าจะบอกเขาทุกสิ่งทุกอย่าง เขาจะเข้าไปในอาณาจักรเร็วๆนี้ และเดินตามเส้นทางแห่งโชคชะตาเขา”
แววตาของหลินไห่แสดงความรู้สึกอันแรงกล้าออกมา เขาเคยสงสัยว่าลูกชายของเขาจะปลุกจิตวิญญาณให้ตื่นขึ้นมาได้หรือไม่ ลูกชายของเขาไม่ใช่คนธรรมดาๆ ในที่สุดตอนนี้เขาก็สามารถที่จะเห็นลูกชายของเขาปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเขาได้ หลินไห่เชื่อว่าหลินเฟิงจะปลุกจิตวิญญาณของเขาให้ตื่นขึ้นมาในไม่ช้านี้
……………………………..
หลินเฟิงไม่รู้ความลับที่พ่อแม่ของเขาซ่อนไว้ และเขาก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของเขา หลินไห่ไม่เคยบอกหลินเฟิงเกี่ยวกับจิตวิญญาณงูที่เขามีอยู่
หลินเฟิงทำลายการบ่มเพาะพลังของหลินเหิงทำให้เขารู้สึกโล่งใจราวกับความหนักอึ้งในหัวใจได้หายไป กล่าวได้ว่าความโศกเศร้าเสียใจของหลินเฟิงคนก่อนที่ตายไปนั้นได้หายไปแล้ว เพราะในที่สุดเขาก็ได้แก้แค้น
หลินเฟิงไม่ได้ออกเดินทางทันที เพราะเขาสามารถฝึกฝนและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆได้ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน ทุกคนที่เขามาที่แห่งนี้ล้วนมีวัตถุประสงค์เดียวกันเพื่อต่อสู้ และแข็งแกร่งขึ้น หลินเฟิงไม่คิดที่จะยั่วยุคนอื่น แต่เขามั่นใจว่าคนอื่นจะเข้ามาต่อสู้กับเขาเอง
“เจ้านี่เอง” น้ำเสียงอันเย็นชาดังออกมา หลินเฟิงหันมองไปรอบๆ เพื่อมองหาแหล่งที่มาของเสียง และเห็นร่างของสตรีผู้งดงามนางหนึ่ง; สัดส่วนต่างๆที่เขาเห็นตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นใบหน้าของนาง เพียงแค่เห็นแค่เงาก็รู้ว่านางมีเสน่ห์อย่างมาก
หลินเฟิงรู้สึกสงสัยว่าทำไมหญิงสาวถึงสวมหน้ากากเพื่อปกปิดใบหน้าของตนเอง เขาไม่ค่อยรู้จักผู้คนที่อยู่ในนิกายหยุนไห่มากนัก เขารู้จักแค่หาน หมาน , ชิงอี และจิ้ง ยวิ๋น เห็นได้ชัดว่านางไม่ใช่หนึ่งในพวกเขา หรือบางทีอาจจะเป็นคนที่หลินเฟิงคนเก่ารู้จัก?หลินเฟิงเต็มไปด้วยความสับสน
“ครั้งสุดท้ายที่พวกเราเจ้ากันเจ้าหนีไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ ทำให้ข้าไม่สามารถตามเจ้าได้ทัน แต่ครั้งนี้ข้าจะทดสอบเจ้าว่าเจ้าจะหลบหนีได้ไกลแค่ไหน ตอนนี้พวกเราอยู่ในพื้นที่เปิดกว้าง และไม่มีที่ไหนที่จะให้เจ้าหลบซ่อนได้?” หญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าเขาหัวเราะอย่างเย็นชา นางหยิบลูกศรออกมาจากซองใส่ลูกศร และหยิบธนูที่ผูกไว้บนหลังของนางออกมา หลินเฟิงรู้ทันทีว่าทำไมนางถึงรู้จักเขา เขาจำทุกอย่างได้ นางคือ หลิ่ว เฟย หญิงสาวที่อยู่ในภูเขาน้ำพุร้อน หลินเฟิงจำชื่อของนางได้อย่างลึกซึ้ง เพราะลูกศรของหลิ่ว เฟยเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า และเกือบทำให้เขาต้องจบชีวิตลงที่นั้น
นางไม่ให้หลินเฟิงมีโอกาสที่จะหนี นางรู้ว่าเขาซ่อนพลังเอาไว้ ดังนั้นนางจึงใช้จิตวิญญาณของนางทันที หลินเฟิงสามารถรู้ได้ว่าจิตวิญญาณของนางกำลังเพ่งเล็งมาที่เขาอย่างช้าๆ
“ธนูเป็นอาวุธที่เหมาะกับผู้ที่ต่อสู้ระยะไกล แต่ธนูมันไม่มีความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิด ถ้าข้าเข้าระยะประชิดนางได้ระยะหว่างระหว่างพวกเราทั้งสองจะทำให้อาวุธที่นางใช้แสดงพลังที่แท้จริงออกมาไม่ได้” หลินเฟิงคิด และเขาพุ่งเข้าใส่หลิ่วเฟยอย่างไม่ลังเล ด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อของเขา
“เจ้าอยากจะสู้ระยะประชิดกับข้าจริงๆหรือ?” หลิ่วเฟยกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ นางง้างสายและปล่อยลูกศรออกจากคันธนูของนาง ลูกศรสร้างแรงกดดันอันเหลือเชื่อออกมา พร้อมเปล่งเสียงแหวกว่ายผ่านอากาศ สายธนูยังคงสั่นไหวไปมา
หลินเฟิงดึงดาบออกมาจากฝักที่อยู่ด้านหลังของเขาออกมา
เก้าคลื่นทลายสวรรค์! อัสนีคำราม!” ทักษะเก้าคลื่นทลายสวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมาจากมือซ้ายของหลินเฟิง และปล่อยหมัดออกไปข้างหน้าของเขา พลังของลูกศรลดลงเมื่อปะทะกับคลื่นแต่ละคลื่น หลังจากนั้นพลังของทักษะเก้าคลื่นทลายสวรรค์ และอัสนีคำรามได้ผสมผสานกันทำให้ลูกศรหักเป็น 2 ส่วนและหล่นลงกับพื้น
“ทักษะตัวเบาเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทรา!”
ร่างกายของเขาไม่หยุดเคลื่อนไหวแม้แต่เสี้ยววินาที หลินเฟิงเข้าไปใกล้หลิ่วเฟยพร้อมกับใช้ทักษะเก้าคลื่นทลายสวรรค์ เพื่อทำลายอากาศรอบๆตัวเขา ทักษะตัวเบาเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทราของเขาใช้ได้อย่างคล่องแคล่วราวกับว่าเขาเคยใชัมันมานับล้านครั้งแล้ว
หลิ่วเฟยไม่เพียงแค่มีใบหน้าที่งดงามเท่านั้น แต่นางยังมีพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งด้วยเช่นกัน และนางอยู่อันดับ 8 ในการจัดอันดับศิษย์
นางรู้ว่าหลินเฟิงต้องการที่จะต่อสู้ในระยะประชิดกับนาง ดังนั้นนางจึงกระโดดถอยหลังกลับทันที หลังจากที่นางได้ยิงลูกศรของนางออกไป นางเป็นผู้เชี่ยวชาญต่อสู้ด้วยธนู และนางได้เรียนรู้ทักษะการเคลื่อนที่อันยอดเยี่ยมบางอย่าง เมื่อหลินเฟิงได้หักลูกศรของนางเป็น 2 ส่วน มือขางนางได้รวบรวมพลังปราณไว้ในลูกศรของนางไว้แล้ว แต่คราวนี้….นางจะยิงลูกศรออกมาพร้อมกัน 3 ดอก
“ลาก่อน” หลินเฟิงกล่าวขณะที่วิ่งหนีด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง จากนั้นจู่ๆเขาก็เปลี่ยนจุดหมายปลายทางที่เขาจะหนีไป และกระโดดเข้าไปในป่าแทน ทักษะการเคลื่อนไหวของหลิ่วเฟยทรงพลังมาก แต่อย่างไรก็ตามทักษะของหลินเฟิงเร็วกว่าทักษะของหลิ่วเฟยเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะพยายามเข้าใกล้นางแต่ยังไงมันก็ต้องใช้เวลา ในช่วงเวลาไม่กี่วินาทีนี้ ก็เพียงพอให้หลิ่วเฟยยิงลูกศรออกมาได้ นางจึงพยายามยิงลูกศร 3 ดอกพร้อมกัน หลังจากนั้นลูกศรทั้ง 3 ดอกก็ถูกยิงออกมาจากคันธนูของนาง หลินเฟิงรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขา
ก่อนที่นางจะยิงออกมา หลินเฟิงเห็นนางวางลูกศร 3 ดอกในคันธนูของนาง เขาจึงรีบเปลี่ยนแผนอย่างรวดเร็ว และตัดสินใจที่จะหลบหนีออกจากสายตาของนาง นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการขัดขวางกลยุทธ์การต่อสู้ของหลิ่วเฟย นอกจากนี้การต่อสู้กันในพื้นที่เปิดทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาทั้ง 2 คนห่างไกลกันมาก และในป่านี้มีต้นไม้ และพุ่มไม้ต่างๆมากมายมาบดบังสายตาของนางทำให้ไม่สามารถเล็งเป้ามาที่เขาได้ หลิ่วเฟยใช้จิตวิญญาณแห่งคันศรของนาง แน่นอนลูกศรของนางมีศักยภาพมากในการต่อสู้ในพื้นที่เปิด
“ดูเหมือนข้าจะประเมินพลังผู้บ่มเพาะพลังที่อยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 ต่ำไป มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะต่อสู้ และชนะนางได้” หลินเฟิงคิดและรู้สึกหดหู่ เขาไม่รู้ว่าหลิ่วเฟยอยู่ขั้นที่ 9 ของขอบเขตพลังปราณซึ่งมันเป็นขั้นที่สูงสุดก่อนที่จะบรรลุขอบเขตถัดไป นางสามารถควบคุมจิตวิญญาณแห่งคันศร และคันธนูของนางได้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยใช้พลังปราณของนาง พลังต่อสู้ระยะไกลของนางนั้นน่ากลัวมาก ก่อนหน้านี้หลินเฟิงคิดว่าถ้าเขาต่อสู้กับศิษย์ที่อยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 เขาอาจจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้ง่ายๆ ความคิดนั้นหายไปทันที
แต่ยังไงหลินเฟิงก็ยังไม่ทอแท้ เขาเชื่อมั่นว่าถ้าเขาสามารถหลอกล่อให้หลิ่วเฟยเข้าไปในป่าได้ชัยชนะก็จะเป็นของเขา
“หึหึ!” หลิ่วเฟยหัวเราะเยาะหลินเฟิงที่อยู่ด้านหน้านาง นางเริ่มดึงสายธนูด้วยแรงกดดันที่ทรงพลังมากขึ้น และง้างสายธนูมากขึ้น มากขึ้น
ความรู้สึกที่รุนแรงและน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของหลินเฟิง หลินเฟิงเข้าใจว่าหลิ่วเฟยกำลังจะยิงลูกศรใส่เขา ดังนั้นร่างกายของเขาจึงเตือนถึงอันตรายที่กำลังเข้ามา หลินเฟิงกำดาบในมือแน่น เขาต้องการเวลาเพียง 2 ลมหายใจเพื่อไปถึงป่า และเขาก็จะปลอดภัย
“เจ้าจะวิ่งหนีไปไหน!” หลิ่วเฟยกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โกรธเล็กน้อย
ทันใดนั้นก็มีดาบพุ่งเข้ามาในสายตาของหลินเฟิงทำให้เขาตกใจ หลินเฟิงรู้สึกว่าเขากำลังตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นเขาจึงกวัดแกว่างดาบด้วยพลังทั้งหมดของเขา แต่จู่ๆเขาก็หยุดมือ และกระโดดกลับไปข้างหลัง
“ตูมมมม!” พื้นดินรอบๆแตกไปเสี่ยงๆ เกิดเสียงระเบิดด้านหน้าหลินเฟิง และมีร่องรอยการฟาดฟันของดาบฝั่งลึกลงบนพื้น ถ้าหลินเฟิงก้าวเดินไปต่อ หรือถ้าช้าไปแม้แต่วินาทีเดียวดาบเล่มนั้นคงตัดร่างของหลินเฟิงออกเป็น 2 ส่วน
การแสดงออกของหลินเฟิงเปลี่ยนไปทันที เมื่อเขาเห็นชายคนหนึ่งในป่าที่สวมเสื้อคลุมสีขาว และถือดาบ มันเป็นดาบของเขาที่ได้สร้างรอยไว้ในบนพื้น
“หลิ่วเฟย เจ้าแมลงนั่นทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือ? เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเจ้าฆ่ามันไหม?” ศิษย์ที่ยืนอยู่ในป่ากำลังมองดูหลินเฟิงอย่างเหยียดหยาม และเผยให้เห็นว่าเขาอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ ในสายตาของเขาหลินเฟิงเปรียบเสมือนมดที่เขาจะฆ่าเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าหลิ่วเฟยพยักหน้าขอให้เขาช่วย เขาจะฆ่าหลินเฟิงทันทีหากนางขอให้เขาทำเช่นนั้น แม้ว่านิกายจะมีกฏห้ามฆ่าศิษย์ แต่มันก็ไม่มีปัญหาสำหรับเขาที่จะลงโทษเจ้าแมลงนั้นเพราะเขามีสถานะสูงส่งกว่าหลินเฟิง
“หนึ่งในศิษย์ชนชั้นสูงของนิกาย” หลินเฟิงเห็นสัญลักษณ์บนเสื้อผ้าของเขา หลินเฟิงสั่นเทาด้วยความกลัวราวกับถูกแช่แข็ง ถ้าหลิ่วเฟยตอบตกลงเขาก็จะโจมตีหลินเฟิงทันที หลินเฟิงต้องหลบหนีด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดของเขา หรือจะถูกตัดหัวอยู่ที่นี่ทันที
“อวี๋ ฮ่าว เจ้าอย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น” หลิ่วเฟยกล่าว แต่นางไม่ได้ยิงลูกศรของนาง ไม่ใช่ว่านางกำลังแสดงความเมตตาต่อหลินเฟง หรือให้อภัยเขา มันเป็นเพราะอวี๋ ฮ่าวกำลังประจบประแจงนาง แต่นางไม่ได้สนใจอะไรในตัวเขาเลย ดังนั้นนางจึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากเขา เพราะนางไม่ต้องการจะติดหนี้อะไรกับอวี๋ ฮ่าว
นางเรียกจิตวิญญาณแห่งคันศรของนางกลับมาในร่าง และเก็บคันธนู และกล่าวกับหลินเฟิงว่า: “ครั้งนี้เจ้าโชคดีไป ครั้งหน้ามันจะดีกว่าหากเจ้าไม่วิ่งเข้ามาหาข้า มิฉะนั้นเจ้าจะไม่โชคดีเหมือนวันนี้”
เมื่อนางพูดจบ นางหันหลังและเดินจากไป
“หลิ่วเฟย ทำไมเจ้าถึงเป็นเช่นนี้ตลอด?” อวี๋ ฮ่าวกล่าวพร้อมกับส่ายหน้าแล้วก็จากไปทันที โดยไม่มองหลินเฟิงแม้แต่น้อย
“ตูม!” เสียงระเบิดดังออกมาจากด้านหน้าของหลินเฟิง และเหลือไว้เพียงรอยดาบที่ฝั่งลึกอยู่บนพื้นดิน
“นับว่าโชคของเจ้ายังดี เจ้าแมลง ครั้งหน้าถ้าข้าเห็นเจ้ายั่วยุหลิ่วเฟย ข้าจะขยี้เจ้า” อวี๋ ฮ่าวกล่าวเสียงของเขาดังมาจากที่ไกลๆ
หลินเฟิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน แม้ว่าดาบของมันจะบดขยี้พื้นดินและระเบิดอยู่ด้านหน้าของเขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้หลินเฟิงไม่กลัวแม้แต่น้อย
หลิ่วเฟยคิดว่านางนั้นแข็งแกร่งและทรงพลัง เหตุที่หลิ่วเฟยต้องการที่จะฆ่าเขาเพราะหลินเฟิงกล้าที่จะบุกรุกภูเขาน้ำพุร้อนของนางที่เป็นสถานที่ฝึกฝนของนาง และยั่วยุนาง นางจึงต้องการที่จะฆ่าเขา อวี๋ฮ่าวเป็นศิษย์ชนชั้นสูง และเขาก็แข็งแกร่งอย่างมาก เขาไม่มีเหตุผลที่จะมุ่งร้ายต่อหลินเฟิง แต่มันกลับจะฆ่าเขาโดยไม่พูดไม่จาอะไรกับเขาเลยหลินเฟิงที่อยู่ในโลกนี้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่หลินเฟิงเข้าใจ และเรียนรู้สิ่งต่างๆจากประสบการณ์และอะไรคือความหมายของคำว่าแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่ง คือ ความเคารพ และความเหี้ยมโหด
“อวี๋ ฮ่าว เมื่อข้าบรรลุขอบเขตปราณจิตวิญญาณได้เมื่อไหร่ เจ้าจงดูแมลงอย่างข้าด้วยตาของเจ้า ข้าจะเอาดาบในมือของเจ้า แทงเข้าไปที่หัวใจของเจ้าซะ……….”
เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น