ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Translate

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Advice โปรแรงส่งท้ายปี ลดทั้งเว็บสูงสุด 20% 19-25 ธันวา 16

Peerless Martial God ตอนที่ 11



ตอนที่ 11 แก้แค้น







หลังจากกลับมาได้สามวัน หลินเฟิงก็ยังคงนั่งสมาธิอยู่ในห้อง เขาสามารถที่จะรับรู้ถึงพลังปราณจากสวรรค์และปฐพีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น หมอกบางๆหลากหลายสีปรากฏอยู่ในบรรยากาศครอบคลุมไปทั่วห้อง

สิ่งที่ลอยอยู่ใกล้ๆกับร่างของหลินเฟิงคือร่างจำแลงของจิตวิญญาณแห่งความมืดมันราวกับว่ากำลังดูดซับแก่นแท้แห่งจักรวาลและหลอมรวมเข้ากับตัวมันด้วยพลังจักรวาล ถ้าเกิดหลินเฟิงสามารถที่จะมองเห็นจิตวิญญาณได้ล่ะก็ เขาคงจะสังเกตได้ว่าจิตวิญญาณแห่งความมืดของเขามีรูปร่างที่คล้ายคลึงกับมนุษย์

ทันใดนั้นพลังปราณจากสวรรค์และปฐพีที่รายล้อมตัวหลินเฟิง ได้พุ่งทะลวงเข้าไปในร่างและวิ่งไปสู่จุดตันเทียนอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาเปิดกว้างด้วยความตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากแก่นแท้จำนวนมหาศาลกำลังทะลวงเข้าไปในร่างและหมุนเวียนอยู่ในร่างกายของเขา ด้วยการซึมซับพลังปราณจำนวนมาศาลเข้าไปตอนนี้ทำให้เขาได้ตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 แล้ว

” ข้าใช้เม็ดยาสร้างรากฐานไปแล้วสามเม็ด และในที่สุดก็บรรลุขั้นที่ 8 เสียที ” หลินเฟิงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เดิมทีเขาอยู่เพียงขั้นที่ 7 และยังดูเหมือนว่าจะยังไม่ใกล้ที่จะบรรลุขั้นต่อไปในเร็ววันอย่างแน่นอน ยังคงอีกยาวไกลกว่าที่จะบรรลุขั้นที่ 8 แต่ด้วยเม็ดยาสร้างรากฐานสามเม็ดที่เขาต้องลงแรงไป ก็คุ้มค่าแล้วที่ทำให้บรรลุขั้นที่ 8 ได้รวดเร็วเช่นนี้

” ตอนนี้ ถ้าหากข้าต้องเผชิญหน้ากับนักสู้ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 9 ข้าคงจะสามารถต่อกรกับมันได้แล้ว ” เมื่อครั้งที่หลินเฟิงอยู่ขั้นที่ 7 ขอบเขตพลังปราณ ด้วยทักษะเก้าคลื่นทลายสวรรค์ทำให้เขามีพลังกำลังถึง 8,500 จิน และทักษะอัสนีคำรามที่มีความรุนแรงถึง 9,000 จิน อย่างไรก็ตามแต่การต่อสู้กับนักสู้ขั้นที่ 9 เขามีโอกาสไม่มากนักที่จะชนะหรือแม้กระทั้งหลบหนียังเป็นเรื่องยาก แต่ตอนนี้มันจะไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้ดีว่าเขาสามารถที่จะต่อกรกับคนเหล่านั้นได้ ถึงแม้จะไม่ชนะและหากต้องการที่จะหลบหนีมันก็ไม่ใช่เรื่องยาก

หลินเฟิงสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนที่จะสวมเสื้อคลุมแล้วเดินออกจากห้อง มันยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่งดงาม ดวงอาทิตย์ฉายแสงส่องประกายเจิดจ้าเหนือศีรษะ ทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่น

” เจ้าเศษขยะ! ข้าบิดาเจ้ามาหาแล้ว ออกมารับความตายของเจ้าซ่ะ! “

บรรยากาศดีๆของหลินเฟิงถูกทำลายในทันที

” หลินเหิง ” หลินเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย เมื่อพบเห็นร่างของหลินเหิงห่างออกไปสิบเมตร ท่าทีของหลินเฟิงปราศจากความตื่นตระหนกหรือความเกรงกลัวใดๆ

ด้วยกฎของนิกาย ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กันในบริเวณที่พัก มีศิษย์จำนวนมากที่กำลังบ่มเพาะพลังของตน หากคนอื่นเข้ามารบกวนอาจจะส่งผลร้ายต่อการบ่มเพาะได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้หลินเหิงไม่กล้าที่จะแหกกฎ ทำได้เพียงยืนรออยู่ด้านนอกมาสองวันแล้ว

หลินเฟิงหันกลับมา เห็นหลินเหิงจ้องมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา แววตาของเขาส่อเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน สามวันที่แล้วตั้งแต่หลินเหิงได้รับจดหมายจากพ่อแม่ของเขา พวกเขาบอกว่าเจ้าเศษสวะอย่างหลินเฟิงได้ทำร้ายน้องชายของเขาหลินหยุนได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังถูกทำให้ได้รับความอับอาย กระทั่งพ่อของเขาหลินห้าวหรานยังถูกดูแคลนขณะอยู่ในการประชุมผู้อาวุโส หลินเหิงจึงตั้งใจที่จะมาสั่งสอนหลินเฟิงอีกครั้งหนึ่ง

” เจ้าเศษสวะ ไอคนที่เกือบตายอย่างเจ้าที่มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ด้วยพลังอันน้อยนิดของเจ้า เจ้ากล้าพอที่จะไปหุบเขาแห่งความป่าเถือนและให้ข้าคนนี้ส่งเคราะห์ความตายให้เจ้าหรือไม่? ” หลินเหิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน

ภายนอกหลินเฟิงอาจจะดูสงบแต่ภายใจเขากลับยิ้มอย่างเย็นชา ครั้งล่าสุดที่เขาถูกล่อลวงโดยหลินเหิงให้เข้าไปยังหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน เขาถูกทุบตีจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด หลินเหิงไม่สามารถที่จะสังหารเขาได้เพราะกฎของนิกายที่ถูกกำหนดเอาไว้ว่าห้ามสังหารศิษย์ด้วยกัน ศิษย์ส่วนมากจึงเลือกที่จะปล่อยให้ศัตรูมีชีวิตราวกับว่าตกนรกทั้งเป็น หลายคนตกตายในระหว่างการรักษา ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะกลายเป็นคนพิการ

หลินเหิงใช้วิธีการนั้นกับหลินเฟิงก่อนหน้านี้ นั่นเป็นเพราะหลินเฟิงเป็นเพียงเศษสวะไร้ค่าที่อยู่เพียงขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 5 จะสามารถเทียบกับหลินเหิงที่อยู่ขั้นที่ 8 ผู้ที่ได้รับการเอาใจใส่อย่างดีได้อย่างไร?

ความแข็งแกร่งเป็นเพียงมาตรฐานเดียวที่จะรับประกันถึงความปลอดภัยของโลกใบนี้ ผู้แข็งแกร่งอยู่เหนือผู้อ่อนแอมันเป็นกฎที่ทุกคนล้วนทราบดี

” โห นึกไม่ถึงเลยว่าเวลาแก้แค้นจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ มันคงเป็นโชคชะตาสินะ ” หลินเฟิงขบคิดในใจขณะที่ยิ้มอย่างไม่แยแส หลินเหิงพยายามที่จะสังหารหลินเฟิงในอดีต เพราะฉะนั้นสิ่งเดียวที่รอหลินเหิงอยู่คือความตาย!

หลินเฟิงก้าวเดินออกไป

” ไอ้เศษขยะ ขี้ขลาด เจ้าไม่กล้า? ” หลินเหิงกล่าวแดกดันเมื่อเห็นว่าหลินเฟิงเมินเฉยต่อสิ่งที่เขาพูด

” เจ้าเองไม่ใช่หรือไงที่พูดเองว่าจะให้ข้าไปหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน? ” หลินเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมย ปล่อยให้หลินเหิงยืนโง่งมอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มอำมหิตปรากฎขึ้นที่มุมปากของหลินเหิงอย่างชัดเจน สวะยังไงก็เป็นสวะอยู่วันยังค่ำ เพิ่งจะรอดตายมาแท้ๆ ก็ยังคงโง่ที่จะสู้กับเขาอีกครั้ง? ครั้งนี้หลินเหิงจะไม่ปล่อยให้หลินเฟิงรอดกลับไปแน่

การที่จะไปยังหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน เพียงแค่ไต่ลงไปยังผาอันสูงชัน ทางเข้าหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนเป็นโซ่เหล็กแขวนลงไปยังหน้าผา ถ้าผู้ที่มีพลังบ่มเพาะไม่แข็งแกร่งพอที่จะกระโดดลงไป ก็สามารถที่จะใช้โซ่ไต่ลงไปได้เช่นกัน

เมื่อกล่าวถึงความแข็งแกร่งของหลินเฟิง เขาสามารถที่จะกระโดดลงไปได้ แต่เขาไม่อยากแสดงความสามารถมากเกินไป เพราะหากหลินเหิงสังเกตเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลินเฟิง เขาคงจะหนีหางจุกตูดเป็นแน่ หลินเฟิงไม่ต้องการที่จะพลาดโอกาสหายากเช่นนี้ จึงใช้วิธีไต่โซ่ลงไป

” สวะยังไงก็เป็นสวะอยู่วันยังค่ำละน้า ถึงต้องใช้ตัวช่วยเพื่อที่จะลงไป ” หลินเหิงยิ้มอย่างเย้ยหยัน เขาเพียงมองไปด้านล่างก่อนที่จะกระโดดลงไป ทะย่านกลางอากาศเหมือนนกที่กำลังโผบิน ทักษะเคลื่อนไหวของเขาทำให้ตัวเบาราวกับสามารถบินได้ เขาร่อนลงมาถึงพื้นเศษหินและดินแตะกระจาย กระทั่งเท้ายังจมลงไปในดิน

” เหลือเชื่อนั้นใครกัน? ” ผู้คนเพียงหันมองหลินเหิงที่อยู่เหนือพื้นดิน มันช่วยไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างและยอมรับในความแข็งแกร่งของเขา

” ข้ารู้จักเขา เขาคือหลินเหิงผู้ที่บรรลุขั้น 8 ขอบเขตพลังปราณ เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ” ศิษย์คนหนึ่งกล่าว

การมองเห็นและประสาทสัมผัสของผู้บ่มเพาะจะพัฒนาเป็นอย่างมาก เมื่อพวกเขาบรรลุขอบเขตใหม่ เหล่าศิษย์สามารถมองเห็นหลินเฟิงได้ แม้ว่าเขาจะอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรเหนือหุบเขาก็ตาม

พวกเขาเดินทางมายังลานประลองเป็นตาย ที่แห่งนี้ไม่มีแม้แต่หญ้าหรือพืชพันธุ์ มันมีเพียงทะเลทรายอันเวิ้งว้าง บนผืนทรายมีหินแหลมขนาดมหึมาตั้งอยู่ ศิษย์นิกายหยุนไห่ที่เดินผ่านมา ช่วยไม่ได้ที่จะหยุดและเฝ้ามองหลินเฟิงและหลินเหิง พวกเขาต้องการที่จะเห็นการต่อสู้ที่จะกลายเป็นจุดจบของผู้อื่น

” ฮ่าๆๆ ข้าไม่คิดเลยว่า สวะเช่นเจ้าจะกล้ามายังสถานที่แห่งนี้ ครั้งล่าสุดเจ้าเกือบที่จะต้องทิ้งชีวิตไว้ แต่ครั้งนี้ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าจะต้องตายอย่างแน่อน ” หลินเหิงกล่าวขณะที่หัวเราะเสียงดัง เป็นเสียงหัวเราะที่แสดงถึงความเย้ยหยันอย่างแท้จริง หลินเหิงต้องการที่จะเข้ามายังหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนเพื่อสังหารหลินเฟิง แต่เขาไม่คิดเลยว่าหลินเฟิงจะยอมรับคำท้าเขาง่ายดายเช่นนี้

” ก็ลองดูสิ หากเจ้ามีความสามารถที่จะทำ ” หลินเฟิงอย่างเย็นชาราวกับไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย

” เหอะ ด้วยพลังอันเล็กน้อย สวะเช่นเจ้าถึงกับพูดจาเช่นนี้ออกมา หลินเฟิงวันนี้ข้าจะแสดงให้เห็นว่านักสู้ที่บรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 นั้นน่าเกรงขามขนาดไหน! “

หลินเฟิงขยับเท้าเข้าหาหลินเฟิงขณะที่ตะโกนออกไป เขาชกหมัดธรรมดาไปยังหลินเฟิง เพียงหมัดเดียวก็เพียงพอที่จะจบการต่อสู้นี้

หลินเฟิงเพียงแค่ยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อยก็สามารถหยุดหมัดที่พุ่งตรงเข้ามาได้แล้ว

มันช่วยไม่ได้ที่หลินเหิงจะแปลกใจ สวะเช่นหลินเฟิงใช้เพียงฝ่ามือแต่กลับหยุดหมัดของเขา มันเป็นไปได้อย่างไร?

” ข้าจะหักแขนเจ้า! ” แสงสีขาวสุกใสปรากฎขึ้นรอบแขนและพุ่งออกจากหมัดของหลินเหิง เขาต้องการที่จะบดขยี้ฝ่ามือของหลินเฟิง

” ฝันไปเถอะ! ” หลินเฟิงกล่าวออกมาอย่างสงบ พลังอันน่าหวาดหวั่นหลังไหลออกมาจากฝ่ามือของเขา ชั่วครู่ หลินเหิงรู้สึกถึงแรงกดดันราวกับว่าเขายืนอยู่ท่ามกลางคลื่นมหาสมุทรที่ไร้ขอบเขต คลื่นเหล่านั้นแผ่อำนาจออกมากดดันเขาอย่างรุนแรง ไม่เพียงหลินเหิงสูญเสียความมั่นใจและหยิ่งยโสก่อนหน้านี้ไปทั้งหมด คลื่นหลังเหล่านั้นยังทำลายแขนของเขาลง มือขวาของเขาบวดปูดและเริ่มกลายเป็นสีม่วงราวกับกล้ามเนื้อที่ตายแล้ว

” เป็นไปได้อย่างไร! ” หลินเหิงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เขารู้สึกกับว่ามือของเขาถูกทำลายด้วยพลังที่มองไม่เห็น ทั่วทั้งร่างถูกกดดันจากคลื่นพลังที่น่าเกรงขามที่ยิ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลินเหิงต้องการทีจะหนีออกไปให้เร็วที่สุด

” เจ้าคิดว่าจะสามารถหนีออกไปได้เมื่อต้องการเช่นนั้นรึ!? ” สีหน้าของหลินเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิต ฝ่ามือส่งแรงกดดันเข้าปะทะกับหมัดของหลินเหิง เขาไล่ตามหลินเหิงอย่างรวดเร็ว ระยะห่างของพวกเขาลดลงเรื่อยๆ

” แกร๊ก! “

เสียงกระดูกสันหลังดังสนั่นไปยินไปทั่วบริเวณ หลินเหิงรู้สึกเจ็บปวดอย่างหาที่สุดมิได้ ทั่วทั้งแขนที่กระดูกแตกหักและราวกับจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา เขาต้องการที่จะยกแขนขึ้นแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ แม้แต่วิ่งหนีก็ไม่อาจที่จะทำได้เช่นกัน หลินเฟิงเอาชนะเขาทั้งในด้านพละกำลังและความเร็ว ช่องว่างระหว่างเขามีมากเกินไป เขาสามารถที่จะถูกสังหารได้ง่ายดาย

พวกเขาอยู่ใกล้กันมากหลินเหิงสามารถที่จะมองเห็นทุกรายละเอียดในสีหน้าของหลินเฟิงได้อย่างชัดเจน แววตาอันหนาวเหน็บและรอยยิ้มอันชั่วร้ายถูกแต่งเติมอยู่บนใบหน้า หลินเหิงเต็มไปด้วยความกลัว เขาเป็นได้แค่มดปลวกเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเฟิง

เจ้าสวะนี่เหนือกว่าข้า? หลินเหิงต้องการที่จะยอมแพ้และวิ่งหนี

” เราจะจบเรื่องนี้กันอย่างไรดี ? ” หลินเฟิงกล่าวพร้อมหัวเราะเสียงดังมันเต็มไปด้วยความหนาวเย็นที่เสียดแทงไปถึงกระดูก ทักษะเก้าคลื่นทลายสวรรค์ของหลินเฟิง ส่งออกมาด้วยพลังทำลายที่รุนแรง หลินเหิงถูกทำลายจากคลื่นพลังกว่า 9,500 จิน มันราวกับว่าทั้งแขนของเขาถูกทำลายโดยการงูหลามยักษ์

” แกร๊ก! “

เลือดพุ่งออกจากปากพร้อมกับเข่าที่กระแทกพื้น ความเจ็บปวดที่รุนแรงอยู่ทั่วร่างกาย เขาไม่สามารถที่จะแบกรับความเจ็บปวดที่ทุกทรมานเช่นนี้ได้ กระดูกที่แตกหักและกล้ามเนื้อที่ฉีกขาดมันเกินที่จะเยียวยา

” เจ้าเป็นบุตรของลุงสาม… เป็นญาติพี่น้องของข้า.. แต่ครอบครัวของเจ้าและหลินป้าเต้ากลับร่วมมือกันทำร้ายพวกข้า ด้วยการกระทำที่น่ารังเกียจ เจ้าทั้งดูถูกและเหยียบย้ำข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเจ้ายังมาที่นี่เพื่อที่จะสังหารข้าเป็นหนที่ 2 เจ้าเป็นคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตและเลือดเย็น ดังนั้นอย่าตำหนิข้าหากกระทำโหดร้ายกับเจ้าก็แล้วกัน “

หลินเฟิงมองดูหลินเหิงที่กองอยู่บนพื้นและกล่าวอย่างเยือกเย็น ถ้าใครต้องการที่จะเอาชีวิตหลินเฟิง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร มันก็ต้องชดใช้ดั่งสุภาษิตที่ว่า ” ตาต่อตา ฟันต่อฟัน “

” ไม่.. ไม่.. อย่านะ ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ ข้าเป็นพี่น้องของเจ้านะ ” หลินเหิงรู้สึกถึงความโหดเหี้ยมที่แผ่ออกมาจากร่างของหลินเฟิง เพียงครู่เดียว เขารับรู้ได้ถึงจิตสังหารอย่างชัดเจน มันพุ่งตรงมาที่เขาและทำให้หลินเหิงรู้สึกหวาดกลับไปถึงขั้วหัวใจ

” ในเมื่อเจ้าพยายามที่จะเอาชีวิตข้า ข้ายังต้องคิดว่าเจ้าเป็นพี่น้องอีกเช่นนั้นรึ! ” หลินเฟิงกล่าวพร้อมระเบิดพลังจากจุดตันเทียนพร้อมกับใช้ทักษะเก้าคลื่นทลายสวรรค์ ทันใดนั้นหลินเหิงก็กรีดร้องออกมาอย่างน่าสมเพชขณะที่ใบหน้าซีดขาวลง

” ข้าทำลายการบ่มเพาะของเจ้า เจ้าจะยังคงมีชีวิตอยู่แต่จะถูกเรียกว่า ‘ขยะ’ เฉกเช่นเดียวกับสิ่งที่ข้าเคยได้รับ “

หลินเฟิงกล่าวอย่างเย็นชาพร้อมกับเดินจากไป ห่างออกไปไม่ไกลเหล่านักสู้ที่อยู่ขั้น 8 ขอบเขตพลังปราณต่างมองเห็นความโหดเหี้ยมของหลินเฟิงอย่างชัดเจน ถึงแม้หลินเฟิงจะไม่ได้เข้าใกล้พวกเขา แต่พวกเขาก็เลือกที่จะซ่อนตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ถ้าหากว่าทำให้หลินเฟิงโกรธเคือง พวกเขาอาจจะถูกทำลายการบ่มเพาะเฉกเช่นหลินเหิงก็เป็นได้ พวกเขาไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว การบ่มเพาะก็เปรียบเสมือนชีวิต พวกเรายอมตายดีกว่าที่จะกลายเป็นคนพิการ

” หลินเฟิงเจ้ากล้าทำลายการบ่มเพาะของข้า เจ้าจะไม่มีวันหนีรอดไปได้! ” หลินเหิงกล่าวด้วยความอาฆาต เขาเครียดแค้นที่ตนเองกลายเป็นคนพิการ เป็นเพียงแค่สวะไร้ค่า เขาเกลียดชังบิดาของหลินเฟิงจากก้นบึงของหัวใจ เขาเสียใจต่อเกตุการณ์ทั้งหมด แต่ก็ไม่สามารถที่จะกลับไปแก้ไขอะไรได้ ทันใดนั้นเขาก็คิดที่จะขอความช่วยเหลือจากลูกพี่ลูกน้องของเขา เด็กสาวที่มีนามว่า หลินเชียน ผู้บรรลุขอบเขตจิตวิญญาณและจิตวิญญาณของนางได้ตื่นขึ้นแล้ว ในนิกายห้าวเย่ นางได้รับการยอมรับว่าเป็นศิษย์ที่ทรงพลัง หลินเชียนรู้ว่าบิดาของหลินเฟิงทำร้ายบิดาของนางหลินป้าเต้าจนบาดเจ็บระหว่างการประชุมครั้งล่าสุด หลินเชียนเตรียมพร้อมที่จะมานิกายหยุนไห่เพื่อที่จะสังหารหลินเฟิงด้วยตัวนางเอง

สิ่งที่น่าอนาถใจที่สุดคือตัวเขาที่พยายามสังหารหลินเฟิงและกลับพลาดท่าจนกลายเป็นคนพิการ เขาเกลียดทุกอย่าง เกลียดที่ตัวเองประมาท เกลียดที่เขาต้องสูญเสียอนาคตในการบ่มเพาะพลัง

เขาต้องทำให้แน่ใจว่า หลินเฟิงต้องประสบชะตากรรมที่เลวร้ายกว่าตัวของเขาเองให้ได้








เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/

ความคิดเห็น

Facebook