ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Translate

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

Advice โปรแรงส่งท้ายปี ลดทั้งเว็บสูงสุด 20% 19-25 ธันวา 16

Peerless Martial God ตอนที่ 10



ตอนที่ 10 ลานประลองแห่งชีวิต







หาน หมาน ยิ้มขณะที่มองหลินเฟิง : “พวกเราก็เหมือนเป็นพี่น้องกัน เจ้าฆ่าจิ่งเฟิงไปแล้ว พวกเราทุกคนมีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ผู้คนต่างเรียกข้าต่างนาๆ แต่ไม่ใครเรียกข้าว่าเป็นคนขี้ขลาด”

พวกเขาเข้าใจเหตุผลแท้จริงแล้วว่าทำไมหลินเฟิงถึงได้ฆ่าจิ่งเฟิง เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยมือของเขาเอง เพราะเขาไม่ต้องการให้พวกเรามีปัญหาในอนาคต หาน หมานรู้สึกชื่นชมหลินเฟิงด้วยความจริงใจ หลินเฟิงเป็นคนจริง การกระทำของเขาเห็นได้ชัดว่ามีเจตนาที่ดี

“ถูกต้อง หากมีปัญหาพวกเราสามารถแบ่งปันภาระร่วมกันได้ นอกจากนี้ศิษย์ของนิกายหยุนไห่ไม่อนุญาตให้ศิษย์นิกายเดียวกันฆ่ากันเอง ดังนั้นเราจึงปลอดภัยถ้าอยู่ภายในนิกาย ถึงแม้จิ่งห้าว จะสงสัยว่าพวกเราฆ่าจิ่งเฟิง แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าพวกเราอยู่ภายในนิกาย ”ชิงอี กล่าวอย่างมั่นใจ

“อย่าลืมข้าว่า ข้าอยู่ข้างเจ้าเสมอ” จิ้ง ยวิ๋นกล่าวอย่างเขินอาย ตอนนี้รอยยิ้มของนางงดงามมาก

“ข้าเข้าใจแล้ว” หลินเฟิงกล่าวอย่างมีความสุขที่เขามีสหายที่ดีเช่นนี้ ชิงอีพูดถูก นิกายหยุนไห่ไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นนอกนิกาย นิกายมีกฏที่เข้มงวดเพื่อไม่ให้ศิษย์ก่อปัญหาใดๆ

หลินเฟิงค้นร่างของจิ่งเฟิงเพื่อหาสิ่งของต่างๆที่เขาสามาถขนไปได้ เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งของมันออกมา: มันเป็นตำราทักษะ

“ทักษะดาบ: อัสนีคำราม”

หลินเฟิงเปิดดูตำราขณะที่พูดชื่อทักษะออกมาเบาๆ ทักษะอัสนีคำรามเป็นทักษะระดับเหลือง ถ้าสามารถฝึกฝนทักษะได้สมบูรณ์แบบ การโจมตีแต่ละครั้งจะเหมือนกับเสียงของฟ้าผ่าและระเบิดด้วยเสียงสายฟ้าคำรามออกมา เสียงคำรามของสายฟ้ามันจะเคลื่อนที่ไปตามวิถีของดาบด้วยพลังทำลายล้างอันหนักหน่วง

“ทักษะดาบอัสนีคำรามเป็นทักษะของหอดวงดารา จิ่งเฟิงมีพี่ 2 คนพวกเขาได้แนะนำทักษะนี้ให้เขาฝึกฝน มันเป็นทักษะที่ทรงพลังมาก แต่มันก็ฝึกฝนได้ยากเช่นกัน เมื่อชำนาญผู้ฝึกฝนสามารถทำให้เกิดเสียงสายฟ้าคำรามปรากฏออกมาได้”

“ข้าเคยฝึกฝนทักษะนี้ แต่มันก็ล้มเหลว เพราะพลังของข้ามันมีจำกัด” ชิงอี อธิบาย เขาเป็นผู้ฝึกฝนทักษะดาบ ดังนั้นเขาจึงมีความรู้ทักษะดาบต่างๆมากมายเพราะเขาเคยศึกษาทักษะมาหลายเล่มเมื่อก่อนหน้านี้

หลินเฟิงพยักหน้า ตอนนี้เขามีทักษะเพียง 3 ทักษะเท่านั้น: ทักษะเก้าคลื่นทลายสวรรค์เป็นทักษะโจมตีที่รุนแรง และตั้งรับก็ได้ ทักษะตัวเบาเคลื่อนที่ดั่งเงาจันทราเป็นทักษะเคลื่อนไหวที่จำเป็นอย่างยิ่ง ส่วนทักษะดาบเดียวสังหารทำให้เขาสามารถโจมตีได้อย่างรวดเร็วด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ถ้าเขาฝึกฝนทักษะอัสนีคำรามบางทีมันอาจจะผสมผสานการโจมตีกับเก้าคลื่นทลายสวรรค์ด้วยก็เป็นได้ และอาจจะเกิดทักษะใหม่ขึ้นมาที่ทรงพลังมากกว่าทักษะดาบเดียวสังหาร

“ตอนนี้พวกเราจะกลับกันเลยมั้ย?” จิ้ง ยวิ๋น ถามหลินเฟิง วันนี้พวกเขานับถือหลินเฟิงเป็นหัวหน้ากลุ่ม

“พวกเราได้มาอยู่ภูเขาวายุทมิฬแล้วจะรีบกลับทำไม? พวกเราน่าจะล่าสัตว์อสูรต่อจะได้เก็บเกี่ยวได้มากขึ้น?” หลินเฟิงกล่าวเพราะเขาไม่อยากรีบกลับไปยังนิกาย ถ้าเขายังอยู่ในภูเขาวายุทมิฬ เขาสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่อสู้ และฝึกฝนทักษะอัสนีคำรามได้ในเวลาเดียวกัน มันจะมีหนทางไหนที่ดีกว่านี้?

ความกลัวของพวกเขาทุกคนหายไป เพราะหลินเฟิงอยู่ที่นี่กับพวกเขา ถ้าหากพวกเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่ดุร้าย พวกเขาก็จะไม่ตกอยู่ในอันตรายใดๆ โดยเฉพาะตอนที่หลินเฟิงได้แสดงพลังที่แท้จริงของเขาให้เห็น ดังนั้นจึงไม่จำเป็นทีจะต้องรีบกลับไปยังนิกาย

“ถ้าพวกเราสามารถนำวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวมาได้แลกเป็นเม็ดยาได้ก็น่าจะดีนะ” จิ้ง ยวิ๋นขณะที่มองวัตถุดิบที่เก็บรวบรวมมาจากสัตว์อสูร เม็ดยาสร้างรากฐานเป็นเม็ดยาที่จะช่วยการฝึกฝนของผู้ฝึกบ่มเพาะพลัง และช่วยให้บรรลุขอบเขตที่สูงขึ้นได้ มันเป็นเม็ดยาที่มีประโยชน์ต่อผู้บ่มเพาะพลังอย่างมาก แต่การที่จะต้องฆ่าสัตว์อสูรหลายตัวเพื่อให้ได้รับเม็ดยาสร้างรากฐาน 1 เม็ดนั้นวัตถุดิบที่นำมาแลกต้องเป็นวัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวได้จากสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับสูงๆเท่านั้น และมันก็อันตายมากที่จะเก็บเกี่ยววัตถุดิบเหล่านั้นมาได้

แววตาของหลินเฟิงเปล่งประกาย เขาจำได้ว่าเม็ดยาสร้างรากฐานเพียงเม็ดเดียวมันมีประโยชน์ต่อศิษย์ระดับล่างอย่างมาก แม้ว่าเขาจะสามารถะเอาชนะสัตว์อสูรระดับ 8 โดยใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อย แต่ยังไงเขาก็ยังคงอยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 7 ซึ่งมันเป็นระดับมาตราฐานของศิษย์ภายใน ถ้าเขาสามารถบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นถัดไปได้ บางทีเขาอาจจะไม่ต้องพึ่งพาทักษะดาบเดียวสังหารอีกต่อไป และอาจจะต่อสู้ชนะผู้ที่อยู่ขอบเขตพลังปราณขั้น 9 ได้

5 วันต่อมา ณ ใจกลางป่าอันหนาทึบนี้ มีเสียงคำรามที่ทรงพลังปลดปล่อยออกมาจากดาบของหลินเฟิง และมีเสียงระเบิดดังออกมาจากอากาศรอบๆ เสียงที่ดาบของหลินเฟิงปลดปล่อยออกมาทำให้จิ้ง ยวิ๋น กระโดดด้วยความตระหนกตกใจ

“ตูม ตูม ตูม..…..” ต้นไม้ระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆด้วยเสียงคำรามของสายฟ้า หลินเฟิงกวัดแกว่งดาบของเขาอย่างสง่างาม ราวกับว่าดาบของเขากำลังเริงระบำอยู่ในอากาศ
“เขาสามารถใช้ทักษะอัสนีคำรามได้หลังจากผ่านไป 5 วันเนี่ยนะ เขาเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ” ชิงอี กล่าวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวขณะที่สังเกตจากระยะไกล เขาเคยลองฝึกฝนทักษะอัสนีคำรามแล้ว ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามันเป็นทักษะที่ยากขนาดไหนที่จะใช้มันได้ แต่หลินเฟิงกลับฝึกฝนโดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 วัน และการกวัดแกว่งดาบแต่ละครั้งมันจะมีเสียงระเบิดดังออกมา นั่นถือว่าเขาได้ฝึกฝนทักษะสำเร็จแล้ว ชิงอีรู้สึกหนักใจเมื่อเห็นมัน

“อย่าได้เปรียบเทียบตัวเองกับหลินเฟิง เขาใช้เสือดาวเมฆาเพื่อการฝึกฝนของเขา…” หาน หมานกล่าวขณะที่เขากำลังยืนกอดอก และมองดูการต่อสู้ระหว่างเสือดาวเมฆา และหลินเฟิง หลินเฟิงเขาเป็นคนที่น่ากลัว เขาสามารถฆ่าสัตว์อสูรได้ทุกเมื่อถ้าเขาต้องการ แต่เขากลับใช้มันเพื่อฝึกฝนแทน เขากวัดแกว่งดาบอย่างรวดเร็วราวกับว่ามันมีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่ตรงหน้าของเขา และปัดการโจมตีทุกอย่างที่พุ่งเข้ามาหาเขา แม้ว่าเสือดาวเมฆามันจะมีความเร็วที่รวดเร็วมาก แต่มันก็ไม่สามารถเทียบได้กับความเร็วของหลินเฟิง

“ฮ่าาาาาาาาาา!” หลินเฟิงตะโกนอย่างร่าเริงขณะที่เขากำลังแทงดาบไปที่หัวของเสือดาวเมฆา เมื่อดาบแทงเข้าไปที่หัวของเสือดาวเมฆา ทำให้หัวของมันระเบิดออกเป็นชิ้นๆ ด้วยแรงระเบิดอันรุนแรง

หลินเฟิงเก็บดาบเข้าไปในฝักด้วยรอยยิ้ม เขาพึงพอใจกับทักษะอัสนีคำรามอย่างมาก ทักษะนี้เขาได้บรรลุถึงขั้นที่การกวัดแกว่งดาบแต่ละครั้งจะมีเสียงคำรามดังออกมา ถ้าหากหลินเฟิงสามารถใช้ทักษะได้อย่างเชี่ยวชาญแล้วล่ะก็มันจะทรงพลังมากกว่าเก้าคลื่นทลายสวรรค์อย่างมาก จุดเด่นของทักษะนี้ คือ พลังโจมตีของมันที่ทรงพลังมาก

ใบหน้าของหลินเฟิงดูละเอียดอ่อน และดูหล่อเหลาทั้งยังดูอ่อนโยน เมื่อเปรียบเทียบกับชีวิตที่แล้วของเขานั้นตอนนี้เขาดูดีกว่ามาก

หาน หมาน เริ่มเก็บเกี่ยววัตถุดิบล้ำค่าจากซากศพของเสือดาวเมฆา พร้อมกับบ่นพึมพำว่าแต่เดิมแล้วที่เขามาที่นี่เพราะต้องการพัฒนาทักษะของตัวเอง ล่าสัตว์บ้าง และฆ่าสัตว์อสูรบ้าง แต่ตอนนี้เขากลับเอาแต่เก็บเกี่ยวซากศพที่หลินเฟิงทิ้งไว้ เขารู้สึกไม่พอใจแม้ว่าเขาจะได้รับผลประโยชน์จากการเฝ้าดูการต่อสู้ของหลินเฟิงที่อยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 7 กับ สัตว์อสูรระดับ 8
“หาน หมาน วัตถุดิบที่พวกเราเก็บเกี่ยวรวบรวมมากจากสัตว์อสูรมันสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเม็ดยาสร้างรากฐานได้กี่เม็ด?” หลินเฟิงถาม

“อย่างน้อยก็ประมาณ 13 เม็ด” หาน หมานกล่าวด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่คิดว่าจะเก็บรวบรวมวัตถุดิบได้มากมายขนาดนี้ ทั้งหมดต้องขอบคุณหลินเฟิง ถ้าไม่มีหลินเฟิงมันคงเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะฆ่าสัตว์อสูรระดับ 7 ได้

“ยอดเยี่ยม พวกเราแต่ละคนจะได้เม็ดยาคนละ 3 เม็ด และพวกเราสามารถแลกเปลี่ยนเป็นวัตถุดิบอย่างอื่น หรืออาวุธก็ได้ ตอนนี้พวกเราสามารถกลับนิกาย และก็ไปสนุกกับความยากลำบากที่ผ่านมากัน”

เม็ดยาสร้างรากฐานมันมีประสิทธิภาพมากสำหรับผู้ที่บ่มเพาะพลัง มันจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการใช้เม็ดยาสามครั้งแรก หลังจากนั้นเมื่อใช้เม็ดยาแต่ละครั้งพลังปราณในร่างกายจะเริ่มแสดงอาการต่อต้าน ยาเม็ดแรกที่ใช้เมื่อมันเข้าสู่ร่างกายมันจะให้พลังปราณจำนวนมหาศาลราวกับกระแสน้ำที่เออ่ล้น และอาจจะสามารถบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นถัดไปได้ เม็ดต่อๆไปประสิทธิภาพของมันจะลดลงมาก และเมื่อใช้เม็ดยามากกว่า 3 เม็ดประสิทธิภาพของยามันจะต่ำมาก

“ได้เม็ดยาสร้างรากฐานคนละ 3 เม็ด” หาน หมาน และคนอื่นๆรู้สึกมีความสุขมาก พวกเขามีเม็ดยามากพอที่จะบรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 ด้วยความช่วยเหลือของเม็ดยาสร้างรากฐาน ภายในนิกายหยุนไห่ ผู้ที่บ่มเพาะพลังที่ต่ำที่สุดอยู่ในขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 5 ศิษย์ที่บรรลุขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 7 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตราฐาน เฉพาะผู้ที่บรรลุขั้นที่ 8 เท่านั้นที่จะได้รับผลประโยนย์ต่างๆมากมายจากนิกาย

ในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่กับหลินเฟิง พวกเขาเริ่มเข้าใจบุคลิก และนิสัยของหลินเฟิง เขาเป็นคนที่มุ่งมั่นในเส้นทางแห่งการบ่มเพาะพลัง และมีกลิ่นอายราวกับพระเจ้าเปล่งประกายออกมาจากตัวเขาตลอดเวลา
“ถ้างั้นพวกเรากลับกันเถอะ” หลินเฟิงกล่าว

สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำเมื่อกลับไปถึงนิกายคือ แลกเปลี่ยนวัตถุดิบที่รวบรวมมาได้เป็นยาสร้างรากฐาน 12 เม็ด ซึ่งแต่ละคนจะได้คนละ 3 เม็ด และหลินเฟิงก็จะนำดาบยาวของจิ่งเฟิง ไปแลกเปลี่ยนวัตถุดิบบางอย่าง ส่วนหาน หมาน เขาอยากได้ขวานใหม่ และชิงอีเขาจะแลกเปลี่ยนเป็นเม็ดยาปฐพี 2 เม็ดเพื่อเสริมสร้างรากฐานการบ่มเพาะพลังของเขาให้มั่นคง ชิงอีเขารู้ว่ารากฐานของการบ่มเพาะปลังของเขายังไม่แข็งแรงพอ

ส่วนสิ่งที่จิ้ง ยวิ๋น จะแลกนั้นทำให้หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะนางเลือกเม็ดยาเพิ่มความงาม เม็ดยาเพื่มความงามสามารถทำให้ผู้หญิงมีเสน่ห์ และงดงามยิ่งขึ้น ถ้าหญิงสาวทั่วๆไปใช้เม็ดยาเพิ่มความงาม เม็ดยาเหล่านั้นมันจะมีประสิทธิภาพน้อยมากๆ เพราะพวกนางไม่ได้ฝึกบ่มเพาะพลัง จิ้ง ยวิ๋นเป็นสาวที่บริสุทธิ์ และไร้เดียงสา มันสามารถทำให้นางงดงามมากยิ่งขึ้นได้ แต่หลินเฟิงไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงเลือกเม็ดยาเพิ่มความงาม ในเมื่อนางเป็นคนที่งดงามมากอยู่แล้วในสายตาของเขา

“ทำไมเจ้าถึงจ้องมองข้าแบบนี้?” จิ้ง ยวิ๋น ถามหลินเฟิงที่จ้องมองนางไม่หยุด นางไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย

“เปล่าไม่มีอะไร ข้าแค่คิดว่าเจ้างดงามมากอยู่แล้ว ข้าไม่อยากทำลายความรู้สึกของเจ้าหรอกแต่เจ้าควรเลือกอย่างอื่นดีกว่า” หลินเฟิงกล่าวขณะที่นางกำลังเขินอาย และเริ่มหัวเราะออกมา

“หลินเฟิง เจ้ามีแผนจะทำอะไรต่อเมื่อกลับนิกาย?” หาน หมาน ถามหลินเฟิง เขาคิดว่าถ้าพวกเขามีโอกาส พวกเขาสามารถชักชวนหลินเฟิงและกลับมาที่ภูเขาวายุทมิฬด้วยกันอีกครั้ง และเก็บเกี่ยววัตถุดิบให้มากยิ่งขึ้น

“ฝึกฝน และพัฒนาทักษะเป็นอันดับแรก ข้าคิดว่าขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 7 ยังต่ำเกินไปภายในนิกาย” หลินเฟิงกล่าว ระดับนั้นมันเป็นระดับมาตราฐานของคนทั่วๆไปในนิกาย
“แน่นอนพวกเราทุกคนต้องพัฒนาทักษะในฐานะที่เป็นผู้บ่มเพาะพลัง หลินเฟิงความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้เจ้าสามารถไปที่ไหนก็ได้เพื่อฝึกฝน ข้าคิดว่าไม่มีใครที่จะหยุดเจ้าได้” หาน หมานกล่าวขณะส่ายหัว จากนั้นเขาได้แนะนำสถานที่ห่างไกลแห่งหนึ่งที่อยู่ในหุบเขา มันเป็นสถานที่โด่งดังที่สุดในนิกายหยุนไห่

นิกายหยุนไห่ล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสูงทั้ง 8 เขา ตรงกลางของยอดเขาหยุนไห่ คือ หุบเขาแห่งความป่าเถื่อน มันมีจุดที่ลึกที่สุดไม่กี่ร้อยเมตร มันครอบคลุมพื้นที่อย่างกว้างขวาง และถูกแบ่งออกเป็นหลายพื้นที่ เช่น เมืองใต้ดิน ภายในนั้นมันมีหุบเขาต่างๆมากมาย และมีทิวทัศน์แตกต่างกันไปภายในนั้น ถ้าเจ้าเข้าไปที่แห่งนั้น บางทีเจ้าอาจจะไปถึงใจกลางป่า หรือ โอเอซิสทะเลทราย

หากพวกเขาไม่ต้องการเข้าไปในหุบเขาเพื่อแสวงหาการต่อสู้ ไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหน นิกายหยุนไห่จะสนับสนุนศิษย์ให้เข้าไป และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เจียนตาย เฉพาะศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่สามารถเข้าไปยังหุบเขาได้ ถ้าคนอ่อนแอดันทุรังที่จะเข้าไปมันก็เหมือนเข้าไปหาความตาย

ดังนั้นนิกายหยุนไห่จึงไม่กล้าให้ศิษย์ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 8 เข้าไปในหุบเขาได้

นอกจากนี้ยังมีสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน ที่แห่งนั้นเรียกว่า ลานประลองแห่งชีวิต หากศิษย์สมัครใจก้าวเข้าไปในลานประลองแห่งชีวิต พวกเขาสามารถต่อสู้กันให้ตายไปข้างได้โดยไม่มีความขัดข้องใจใดๆ และนิกายหยุนไห่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวใดๆ ในขณะที่การฆ่ากันเองนั้นไม่ได้รับอนุญาตในที่แห่งนี้ เมื่อพ่ายแพ้และพยายามที่จะหนีมันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะกลับมานิกายได้อย่างปลอดภัย บางคนก็ถูกลอบฆ่าขณะที่บาดเจ็บและกำลังจะกลับไปยังนิกาย ถ้าเจ้าแข็งแกร่งพอ เจ้าสามารถฆ่าศิษย์คนอื่นๆได้ และนิกายจะทำเป็นมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ผู้ใดที่ก้าวเข้าสู่ลานประลองแห่งชีวิตคนในครอบครัวของเขา หรือสหายของพวกเขาจะถูกฆ่าตาย และพวกเขาไม่สามาถมีชีวิตต่อไปได้ถ้าไม่ได้แก้แค้น

“แน่นอนข้าจะไป” หลินเฟิงกล่าวขณะที่มองไปยังที่ตั้งของหุบเขาแห่งความป่าเถื่อน และสังเกตเห็นกลุ่มคนที่อยู่บนขอบฟ้ากำลังมุ่งหน้าไปยังหุบเขา การแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขานึกถึงบางสิ่งบางอย่างในอดีต

ตอนที่หลินเฟิงอยู่ขอบเขตพลังปราณขั้นที่ 5 คนอื่นๆต่างเรียกเขาว่า เศษขยะ เขาไม่มีทางเลือกมากนัก แต่เขาสามาถเฝ้าดูการต่อสู้ในหุบเขาแห่งความป่าเถื่อนได้โดยเฝ้ามองจากสถานที่ห่างไกล และหลีกเลี่ยงศิษย์คนอื่นๆ….






เครดิต : https://www.thai-novel.com/นิยาย/นิยายแปลไทย/peerless-matial-god/

ความคิดเห็น

Facebook